ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของฉายาที่ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาดอย่าง “พรรคแมลงสาบ” พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” จนต้องกลับไปรับบทถนัดคือพรรคฝ่ายค้าน อาการฟูมฟายตีอกชกตัวดิ้นพล่านทุรนทุรายก็ยังคงมีอาฟเตอร์ช็อกให้เห็นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เริ่มแปรสภาพเป็นหมาบ้าไล่กัดคนที่พวกเขาคิดว่าเป็นศัตรูโดยที่มิได้ “ตักน้ำใส่กะโหลกกระโชกดูเงา” ของตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่า แท้ที่จริงแล้ว ความพ่ายแพ้เกิดจากสนิมเนื้อในเป็นหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับเหล่าสมุนแก๊งไอติม รวมถึง “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรค ที่ร่วมด้วยช่วยกันบริหารพรรคและบริหารประเทศอย่างไม่เอาอ่าว จนคนไทยทั้งประเทศ (ยกเว้นแม่ยก ปชป.) ที่พร้อมใจกันตั้งสมญานามให้ว่า “ดีแต่พูด”
ล่าสุดวิชามารขั้นเทพที่โผล่ออกมาก็คือ “การปล่อยข่าว” ทำลายองค์กรที่พวกเขาคิดว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 ที่นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในศึกการเลือกตั้ง นั่นก็คือ การปล่อยข่าวและกล่าวหาว่า “สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี(ASTV)” กำลังจะเปลี่ยนมือ
เป็นการปล่อยข่าวโดยฝีมือของพ่อยก ปชป. แม่ยก ปชป.และสมาชิกของก๊วนข้ามเพศยก ปชป. ที่รับงานในครั้งนี้
“ติ๊งต่าง-นางกาญจนี วัลยะเสวี” เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับ แกนนำกลุ่มชายไทยหัวใจรักสงบ แม่ยก ปชป.ตัวเอ้ และนายจิตรกร บุษบา นักจัดรายการวิทยุและคนสนิทนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คือส่วนหนึ่งของขบวนการปล่อยข่าวในครั้งนี้
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ข่าวโตระดับพาดหัวตัวไม้ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหาได้โพสต์ข้อคามในเฟซบุ๊ก “คำนูณ สิทธิสมาน” ระบุว่า “วานนี้ในรัฐพิธีที่พระที่นั่งอนันตสมาคมได้ยืนอยู่ข้างหลังติดๆ กับว่าที่อดีตนายกฯ หัวข้อสนทนาแรกๆ เป็นเรื่องของ ASTV ท่านเปรย ๆ ออกมาเชิง “...ได้ข่าวว่า” ผมก็ตอบไปว่าไม่จริง ไม่มี ไปเอาจากที่ไหนมา ท่านก็บอกว่า “...เขาพูดๆ กัน” ผมก็บอกว่าเห็นเหมือนกัน แต่เห็นแต่จากหน้าเพจของแฟนพันธุ์แท้ ปชป.เท่านั้น !”
สำหรับอดีตนายกรัฐมนตรีที่นายคำนูณกล่าวถึงจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกเสียจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง
และเมื่อถอดรหัสจากเฟซบุ๊กของ ส.ว.คำนูณก็จะพบว่า ประเด็นหลังของหัวข้อในการสนทนาดังกล่าวคือการที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีจะเปลี่ยนมือที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากของบรรดาแฟนพันธุ์แท้พรรคประชาธิปัตย์ โดยการเปลี่ยนมือที่ว่านี้ บรรดาพ่อยก แม่ยกและข้ามเพศยก ปชป.จงใจที่จะทำให้เข้าใจว่า สื่อในเครือ ASTVเปลี่ยนจุดยืนไปรับใช้ นช.ทักษิณ ชินวัตร
นี่คือความพยายามที่จะบิดเบือนอย่างมหาร้ายกาจ เพราะถ้าใครที่ติดตามสื่อในเครือ ASTVมาอย่างต่อเนื่องก็จะพบว่า มิได้เป็นความจริงดังข้อกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย เนื่องเพราะสื่อในเครือ ASTV ยังทำหน้าที่สื่ออย่างตรงไปตรงมา โดยวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบนักการเมือง ตลอดรวมถึงพรรคการเมืองทุกฝ่ายอย่างไม่มีข้อยกเว้น มิได้เอนเอียงไปตามข้อกล่าวหาของพ่อยก แม่ยกและข้ามเพศยก ปชป.แต่ประการใด
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ มีความพยายามที่จะดิสเครดิต นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากพันธมิตรฯ ได้ชุมนุมเคลื่อนไหวให้รัฐบาลปกป้องดินแดนจากกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และยกระดับการชุมนุมเป็นการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตย โดยมีการปล่อยข่าวโจมตีนายสนธิต่างๆนานา ทั้งการปล่อยข่าวตามชุมชนต่างๆและในสังคมออนไลน์
นายจิตรกร บุษบา นักจัดรายการวิทยุและคนสนิทนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความเท็จผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 12.55 น.ของวันอาทิตย์ (31 ก.ค.) ระบุว่า “ไม่ต้องไปบริจาคแล้วล่ะครับ เดือนละ 1,000 น่ะ เพราะข่าววงในบอกมาว่า มิถุนายนปีหน้า ก็เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว ไม่มีหรอก “จอดำ” “จอดับ” น่ะ มีแต่หลอกแดก”
นอกจากนี้ หน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กของ นางกาญจนี วัลยะเสวี แกนนำกลุ่มชาวไทยหัวใจรักสงบ ซึ่งเป็นกองเชียร์ผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ได้ตอบข้อความที่นามแฝง “รำเพย กุลสตรี” โพสต์ข้อความในหน้าวอลล์ของนางกาญจนี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้วยข้อความ “แป๊ะแฮ๊บไปหมดแล้วค่ะ” ซึ่งกล่าวหาว่า นายสนธิ ขโมยเงินบริจาคไปหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่า เอเอสทีวีไม่เสียภาษี และโจมตีนายสนธิ ว่า เป็นคนบาปในคราบนักบุญ
จากนั้นเมื่อวันที่ 2 ส.ค.นางกาญจนียังได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “เมื่อเช้าฟัง ASTV พวกนี้คำก็แม่ยก ปชป.สองคำก็แม่ยก ปชป.แม่ยก ปชป.แล้วเป็นยังไง เราภูมิใจเสียอีกที่สนับสนุนคนดี และไม่เป็นทาสนักตบทรัพย์-นักจัดม็อบ-พวกคนบาปในคราบนักบุญ เพราะพวกคุณเป็นพวกทำลายบ้านเมือง ทำไมไม่ทำหน้าที่สื่อที่ควรจะทำ แน่จริงไปโจมตีพวกเพื่อไทย และเสื้อแดงสิ พวกนี้มาน (มัน) เป็น รบ.ไปตรวจสอบพวกนี้ซิ ใบสั่งเค้าห้ามเหรอ” ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการจงใจกล่าวหาให้ร้าย ASTV โดยไม่มีมูลความจริง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ASTVและสื่อในเครือ ยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ตามที่เคยทำมาเป็นปกติต่อไป
แน่นอน หากยังจำกันได้ไฮโซสปอร์ตคลับผู้นี้เคยประกาศถอนตัวจากการเป็นแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยได้ออกมาตั้ง “กลุ่มชาวไทยหัวใจรักสงบ พร้อมกล่าววิพากษ์วิจารณ์และโจมตีพันธมิตรฯ และเอเอสทีวี แบบเทสาดเทเสีย หลายต่อหลายเรื่อง
ที่สำคัญยังเป็นด่านหน้าในการอุ้มชูพรรคประชาธิปัตย์แบบไม่ลืมหูลืมตา เช่นว่า "ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังพยายามดำเนินการอยู่ จึงเห็นว่าการออกมาไล่รัฐบาลเวลานี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง" หรือ "พันธมิตรชอบแอบอ้างว่าประชาธิปัตย์ติดหนี้บุญคุณในการเป็นรัฐบาล" หรือแก้ตัวแทนเหล่าทหารที่บกพร่องในหน้าที่ของการรักษาอธิปไตย ที่บอกว่า "การออกมาโจมตีกองทัพถือว่าไม่ถูกต้อง พันธมิตรฯยุยงให้เกิดสงครามทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้เรายังไม่เสียดินแดนเลยด้วยซ้ำ แต่พยายามจะสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนว่าเราเสียดินแดนไปแล้ว”
และหากยังจำกันได้ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ได้เคยวิพากษ์วิจารณ์ไฮโซสปอร์ตคลับผู้นี้จนผู้คนรู้เช่นเห็นชาติกันมาแล้ว
“นางกาญจนี วัลยะเสวี และพวกไฮโซแถวสุขุมวิท แท้จริงแล้วก็ออกมาช่วยประชาธิปัตย์ และมาเที่ยวว่าเอเอสทีวี สิ่งหนึ่งที่เอเอสทีวีทำ และทำมาหลังจากที่นายทักษิณออกนอกประเทศแล้ว และทำมาตลอด นั่นคือทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง การต่อสู้ของพวกที่ต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ถามนายสุทธิ อัชฌาศัย ที่ระยองสิ มีสื่อมวลชนไหนสนใจ มีแค่เครือข่าวเอเอสทีวีเท่านั้นเอง เราเห็นชีวิตพี่น้องที่ตายด้วยมลพิษ สำคัญกว่า
การลงทุนทางปิโตรเคมีคอล แล้วที่นายสุทธิ อัชฌาศัย ต่อสู้มาเท่าไหร่ สื่อเจ้าอื่นไม่เคยรายงานข่าวให้เลย มีเอเอสทีวีเท่านั้น”
"นอกจากปกป้องประชาธิปัตย์แล้ว คนอย่างนางกาญจนี วัลยะเสวี ที่อดีตเป็นนักร้อง เคยทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองบ้างนอกจากปกป้องพวกเดียวกันเท่านั้นเอง ผมไม่อยากพูด แต่ถ้ายังไม่หยุด ยังมาตอแยเดี๋ยวจะขุดให้หมด ว่าสมัยเป็นนักร้องนั้นมีใครบ้างที่เป็นแฟน อีกทั้งมีผู้หญิงที่สูงศักดิ์อยู่ในแวดวงไฮโซ เขาไม่ได้หลงบ้าไปกับพวกไฮโซบ้าๆ พวกนี้ เขากล้ามาชุมนุมที่นี่ ออกเงินออกทองพิมพ์หนังสือเพลงปลุกใจขายเอาเงินเข้าเอเอสทีวี ทำทุกอย่าง เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาเป็นไฮโซ แต่เขาคิดว่าเป็นคนไทยที่ไม่ต้องการให้เสียชาติเกิด และมีนางตัวดีคนหนึ่งทะลึ่งเขียนไปบอกว่าที่เขาทำนี้ ทั้งพี่น้องทั้งผัว ไม่พอใจสิ่งที่เขาทำ ทำให้ชาติบ้านเมืองมันผิดตรงไหน”นายสนธิกล่าว
ขณะที่นายจิตรกรเองก็เป็นที่รับรู้ว่า เป็นสาวกพรรคแมลงสาบพรรคนี้อย่างหัวปักหัวปำ โดยตัวอย่างผลงานที่เห็นได้ชัดคือการทำหน้าที่แปลงสารในวันที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจจัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่แยกราชประสงค์ ด้วยการอรรถาธิบายทุกถ้อยกระทงความของนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ชนิดที่เปลือยตัวตนและหัวใจของนายจิตรกรออกมาให้เห็นอย่างหมดเปลือกเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเขามิใช่สื่อมวลชนหากแต่เป็นสาวกของพรรคแมลงสาบตัวยง
ขณะเดียวกันหากย้อนหลังกลับไปถึงประวัติและเส้นทางของนายจิตรกรก็จะพบว่า มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ “น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก” แม่ยก ปชป.ทั้งตัวและหัวใจ รวมทั้ง “นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ที่ให้การบริจาคเงินก้อนใหญ่แก่พรรคประชาธิปัตย์จนนำไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญด้วยข้อหารุนแรงคือยุบพรรคมาแล้ว
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาแม่ยก พ่อยกและข้ามเพศยก ปชป.ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า สิ่งที่บันดาลความพ่ายแพ้ให้กับพรรคเก่าแก่พรรคนี้เป็นผลมาจากอะไร และใช่ฝีมือการบริหารพรรคของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหรือไม่
สิ่งหนึ่งที่บรรดาพ่อยก แม่ยกและข้ามเพศยก ปชป.ต้องจดจำไว้ให้ดีก็คือ มิใช่แต่บุคคลภายนอกเท่านั้นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ยุคนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ หากแต่บุคคลภายในระดับปูชนียบุคคลของพรรคก็อดรนทนไม่ไหวที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเช่นกัน
บุคคลนั้นก็คือ “นายพิชัย รัตตกุล” รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
นายพิชัยกล่าวถึงถึงมุมมองที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยเห็นว่า แม้พรรคพยายามสร้างให้เป็นสถาบัน แต่ยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ทั้งที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถ เพราะอภิสิทธิ์ใช้คนไม่เป็น เนื่องจากอยู่กลางวงล้อมของคน 3-5 คนเท่านั้น คนที่ครอบงำอาจจะรุนแรงเกินไป และคนที่ให้คำปรึกษาก็ให้ข้อมูลไม่ตรง เมื่อมีโอกาสเจอกับ "อภิสิทธิ์" ก็พูดคำนี้อยู่บ่อยๆ
ทั้งนี้ นายพิชัยได้ยกตัวอย่างสมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขณะนั้นมีหลายคนได้ร่วมทำงานกับรัฐบาลพล.อ.เปรม "พิชัย" เป็นรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ชวน หลีกภัย ช่วงนั้นทำงานกับนายกฯเปรม สนุกที่สุด เพราะเห็นผลงานและไม่มีปัญหาคดโกง ทั้งที่สมัยที่พล.อ.เปรมเป็นนายกฯ บ้านเมืองแย่มากทุกด้าน แต่พล.อ.เปรมเลือกคนมีความรู้ มีประสบการณ์มาช่วยทำงาน จึงสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากที่แย่ให้ฟื้นขึ้นมาได้ อภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายกฯชวน คุณบัญญัติ (บรรทัดฐาน) ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่มีใครฟัง
“คุณแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาเอาผู้ใหญ่ เอาอดีตหัวหน้าพรรคเอาผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนมาเป็นที่สภาที่ปรึกษา ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ คนเหล่านี้มีประสบการณ์มากที่จะแนะนำอะไรได้บ้าง เวลานี้วัฒนธรรมของประชาธิปัตย์ดั้งเดิมหายไปหมดแล้ว ทั้งวิธีการทำงาน ใช้คนวัฒนธรรมของเราสันดานของเรา สมัยคุณควง อภัยวงศ์ สร้างมา ที่สืบทอดมาเรื่อยๆ มันหมดไปแล้ว ผมไม่ชอบคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะที่เป็นส.ส.ครั้งเดียวแล้วเป็นรัฐมนตรี แต่ละคนบอกตรงๆ หยิ่งยโส ไม่มีสัมมาคารวะ ใหญ่จังเลย ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีหลายคนใหญ่เหลือเกิน สิ่งเหล่านี่ไม่ใช่วัฒนธรรมประชาธิปัตย์ เพราะวัฒนธรรมประชาธิปัตย์ผู้น้อยจะเคารพผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ ในยุคหลังๆแย่ วัฒนธรรมเก่าหายไป”นายพิชัยกล่าว
และที่เด็ดไม่แพ้กันคือความเห็นที่มีต่อนายสุเทพ โดยนายพิชัยกล่าวชมเชยที่พยายามป้องกันนายอภิสิทธิ์เต็มที่ และเห็นว่านายอภิสิทธิ์อยู่ได้เพราะมีนายสุเทพเป็นพลังมหาศาล แต่ไม่ชอบบุคลิกท่าทางของนายสุเทพ
...ฟังเสียงและข้อวิพากษ์วิจารณ์ของนายพิชัยแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าบรรดาพ่อยก แม่ยกและข้ามเพศยก ปชป.คงจะหูตาสว่างกันมากขึ้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ต้องการชนะ ก็ต้องลด ละและเลิกพฤติกรรมที่เคยเป็นมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ นายปรีดี พนมยงค์ ที่ส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ หรือวาทกรรม “จำลองพาคนไปตาย” รวมทั้งใส่ร้ายป้ายสีนายสนธิว่า ไปรับเงิน นช.ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นก็เร่งทบทวนตนเองและปฏิวัติกระบวนทัศน์ทางความคิดเสียใหม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์จะต้องไม่ลืมว่า เส้นทางของพรรคประชาธิปัตย์ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะการเลือกตั้งมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เหตุที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ด้วย “อุบัติเหตุทางการเมือง” ทั้งสิ้น