ศูนย์ข่าวขอนแก่น- แบงก์ชาติอีสานจับตาขึ้นค่าแรง 300 บาท และปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แม้ยังไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ ห่วงขึ้นค่าแรงและเงินเดือนอาจกระทบอัตราเงินเฟ้อ ดันสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพุ่ง แนะขึ้นค่าแรงงานต้องมองภาพรวมการเปิดเสรีอาเซียนปี 2015 ที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี แนะพัฒนาประสิทธิภาพแรงงานให้สูงขึ้น เชื่อผลตอบแทนจะกลับมาเอง
นายเพิ่มสุข สุทธินุ่น ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยถึงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท และเงินเดือนวุฒิปริญญาตรีที่ 15,000 บาท/เดือน ว่า ณ ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ เพราะยังไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ ว่าจะดำเนินการอย่างไร พื้นที่ดำเนินการครอบคลุมเพียงใด ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ว่า จะตัดสินใจนโยบายขึ้นค่าแรงและเงินเดือนปริญญาตรีอย่างไร
ทั้งนี้ การขึ้นค่าแรงงาน 300 บาท/วัน และการปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีที่ 15,000 บาท ยังเป็นนโยบายรัฐบาล โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้เข้าไปดำเนินการกำกับดูแลค่าแรงโดยตรง แต่บทบาทจะเข้าไปดูแลผลกระทบภาพรวมทางเศรษฐกิจ หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงงาน ดูแลอัตราเงินเฟ้อ มีความกังวลว่า การปรับขึ้นค่าแรงงานที่ 300 บาท/วัน และเงินเดือนปริญญาตรีที่ 15,000 บาท/เดือน หากมีผลในทางปฏิบัติอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ราคาสินค้าต่างๆ แพงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวอาจปรับราคาขึ้นไปถึงชามละ 45 บาท ซึ่งจะเกิดผลกระทบกับประชาชนทุกคน จึงต้องติดตามผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
การปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท ต้องมองถึงปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวม ไม่มุ่งขึ้นค่าแรงเพียงด้านเดียว ปัจจุบันภาคการผลิตไทยต้องแข่งขันกับต่างประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพจะต้องทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ ที่สำคัญปี 2015 จะมีการเปิดเสรีอาเซียนรวมถึงจีน จะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานในกลุ่ม และเกิดผลกระทบแรงงานไทยมาก ที่สำคัญเราได้พัฒนาแรงงานไทยรองรับการแข่งขันเพียงไร เชื่อมั่นว่า ผลตอบแทนจะกลับมากับประสิทธิภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น
