นโยบายจำนำข้าวส่อกระทบเป็นวงกว้าง หลังนายกส.ผู้ส่งออกข้าวไทย หวั่นยอดส่งออกปีหน้าวูบ 50% หายไปกว่า 5-6 ล้านตัน ซ้ำร้ายผลพวงจำนำข้าว ทำต้นทุนราคาขายพุ่ง แข่งขันไม่ได้ บวกกับบาทแข็ง คู่แข่งอย่างอินเดียกลับมาส่งออก แนะรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือก่อนอุตสาหกรรมเสียหาย
นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อการส่งออกข้าวไทยในปี 2554 และปี 2555 ว่า มีหลายปัจจัยที่จะทำให้ขีดความสามารถในการส่งออกข้าวไทยลดลง ที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้ ก็คือ การแข็งค่าของเงินบาท ที่หลังการเลือกตั้งทั่วไป ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 30.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 29.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐหรือแข็งค่าขึ้นประมาณ 3% ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนแตกต่างกับประเทศคู่แข่งมากเกินไป
ขณะเดียวกัน ยังได้รับผลกระทบจากการที่อินเดียได้กลับมาเริ่มส่งออก หลังจากที่เคยชะลอการส่งออกไปก่อนหน้านี้ โดยประกาศจะส่งออกข้าวนึ่ง 1 ล้านตันในเร็วๆ นี้ โดยข้าวนึ่งจากอินเดียได้เปรียบข้าวนึ่งไทยในด้านราคาที่ถูกกว่าถึงตันละ 50-100 เหรียญสหรัฐ และจะทำให้ไทยสูญเสียตลาดข้าวนึ่งอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่รออยู่ หลังจากที่รัฐบาลใหม่จะนำนโยบายรับจำนำข้าวกลับมาใช้ โดยตั้งราคารับจำนำสูงถึงตันละ 15,000-20,000 บาท ทำให้ต้นทุนของผู้ส่งออกสูงขึ้น และจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ ตามต้นทุนการซื้อข้าวที่สูงขึ้น แต่จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง เพราะราคาข้าวไทยจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งมากและรัฐบาลเองก็ยังไม่มีแผนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกจากปัญหาการตั้งราคารับจำนำสูงเกินไปด้วย
“ปีนี้การส่งออกข้าวไทยอาจจะไม่มีปัญหามากนัก เพราะ 7 เดือนส่งออกได้เกิน 7.07 ล้านตันแล้ว มีโอกาสถึง 10 ล้านตัน แต่อนาคตน่าห่วง เพราะมีปัจจัยเสี่ยงมาก ทั้งเงินบาทแข็ง ต้องแข่งเรื่องราคากับคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย และยังมีผลกระทบด้านต้นทุนจากการรับจำนำ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาและมีมาตรการช่วยเหลือให้กับผู้ส่งออก”นางสาวกอบสุขกล่าว
นางสาวกอบสุขกล่าวว่า สัปดาห์หน้า กระทรวงพาณิชย์ จะเชิญประชุมผู้เกี่ยวข้องด้านข้าว เพื่อเสนอข้อเสนอต่างๆ ต่อรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐบาลใหม่ ซึ่งสมาคมฯ จะนำข้อมูลสถานการณ์การค้าข้าวและผลกระทบจากนโยบายการตั้งราคารับจำนำข้าวที่สูงเกินไป และรัฐบาลต้องมาดูแลอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมข้าวจะเกิดความเสียหายครั้งใหญ่ และกระทบต่อชาวนาในอนาคต
ส่วนนโยบายการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทนั้น อาจมีผลกระทบสำหรับผู้ส่งออกบางรายที่ใช้แรงงานจำนวนมาก แต่ในภาพรวมยังไม่กระทบมากนัก เพราะส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนแล้ว และไม่น่าจะมีผลทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า นโยบายรับจำนำข้าวสูงถึงตันละ 15,000-20,000 บาท จะทำให้ราคาส่งออก (เอฟโอบี) ข้าวขาวเพิ่มจากปัจจุบันตันละ 530-540 เหรียญสหรัฐ เป็นตันละ 830 เหรียญสหรัฐ ส่วนข้าวหอมมะลิจะเพิ่มเป็นตันละ 1,400 เหรียญสหรัฐ ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและสูญเสียการเป็นผู้นำส่งออกข้าวไทยได้ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยปี 2555 ลดลงจากปี 2554 ประมาณ 50% หรือลดลง 5-6 ล้านตัน
“ไทยอาจต้องสูญเสียตลาดส่งออกข้าวขาวและข้าวหอมมะลิให้เวียดนาม เสียตลาดข้าวนึ่งให้อินเดีย รัฐบาลใหม่ต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือ และอุดหนุนราคาไม่ให้สูงกว่าคู่แข่ง เช่น การตั้งราคาระบายข้าวใกล้เคียงกับราคาตลาด และทบทวนการตั้งราคารับจำนำข้าวใหม่”นายชูเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมข้าวถุงไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวถึงเดือนละ 1 ล้านตันอาจมีผลต่อปริมาณข้าวถุงในประเทศที่จะมีปัญหาด้านผลผลิตลดลงบ้าง แต่ข้าวใหม่ก็จะออกมาชดเชยทุก 4 เดือน และข้าวเปลือกนาปีปี 2554/55 ที่จะออกสู่ตลาดในเดือนก.ย.นี้ ได้มีการประเมินแล้วว่าปริมาณผลผลิตจะเพิ่มถึง 25 ล้านตัน สูงกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 21-22 ล้านตัน เพราะน้ำมาก ดั้งนั้น ปริมาณข้าวถุงในประเทศจึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนในเรื่องราคา ต้องรอดูว่าการจำนำจะมีผลต่อราคาข้าวในไตรมาสสุดท้ายหรือไม่
**พท.ดักคอ “เจ๊วา”เร่งระบายข้าว
ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 27 ก.ค. นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่มีข่าวว่านางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เตรียมเสนอเรื่องขออนุมัติให้มีการระบายข้าวจำนวน 8.5 แสนตัน ว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร รัฐบาลรักษาการควรจะรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการ เพราะเราบอกไปแล้วว่าจะไม่นำข้าวมาเทกระจาดขายถูกๆ แต่ถ้าขายตอนนี้ราคาแตกต่างกัน ราคาปัจจุบันมากกว่าที่ราคากระสอบละ 1,000 บาท เมื่อคูณเข้าไปจะเป็นจำนวน 8 ล้านกระสอบ ถามว่าเป็นเงินเท่าไหร่ จึงขอบอกว่าไม่ควรไปดำเนินการ และขอบอกคนที่ไปวิ่งเต้นจ่ายเงินใต้โต๊ะ เมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจะเลิกทั้งหมด และใช้วิธีประมูลในตลาดเกษตรล่างหน้า ไม่ใช่ตกลงขายเพียงพ่อค้าไม่กี่ราย
ส่วนข้าวกว่า 1 ล้านตัน ในสต็อกจะบรรจุขายเป็นสินค้าธงฟ้า ดังนั้นรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการ แม้แต่สมาคมผู้ค้าข้าวถุงก็บอกว่ารอได้ ไม่ควรมาอ้างว่าข้าวขาดแคลน เพราะจะทำให้รัฐบาลเกิดความเสียหายได้
นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อการส่งออกข้าวไทยในปี 2554 และปี 2555 ว่า มีหลายปัจจัยที่จะทำให้ขีดความสามารถในการส่งออกข้าวไทยลดลง ที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้ ก็คือ การแข็งค่าของเงินบาท ที่หลังการเลือกตั้งทั่วไป ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 30.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 29.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐหรือแข็งค่าขึ้นประมาณ 3% ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนแตกต่างกับประเทศคู่แข่งมากเกินไป
ขณะเดียวกัน ยังได้รับผลกระทบจากการที่อินเดียได้กลับมาเริ่มส่งออก หลังจากที่เคยชะลอการส่งออกไปก่อนหน้านี้ โดยประกาศจะส่งออกข้าวนึ่ง 1 ล้านตันในเร็วๆ นี้ โดยข้าวนึ่งจากอินเดียได้เปรียบข้าวนึ่งไทยในด้านราคาที่ถูกกว่าถึงตันละ 50-100 เหรียญสหรัฐ และจะทำให้ไทยสูญเสียตลาดข้าวนึ่งอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่รออยู่ หลังจากที่รัฐบาลใหม่จะนำนโยบายรับจำนำข้าวกลับมาใช้ โดยตั้งราคารับจำนำสูงถึงตันละ 15,000-20,000 บาท ทำให้ต้นทุนของผู้ส่งออกสูงขึ้น และจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ ตามต้นทุนการซื้อข้าวที่สูงขึ้น แต่จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง เพราะราคาข้าวไทยจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งมากและรัฐบาลเองก็ยังไม่มีแผนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกจากปัญหาการตั้งราคารับจำนำสูงเกินไปด้วย
“ปีนี้การส่งออกข้าวไทยอาจจะไม่มีปัญหามากนัก เพราะ 7 เดือนส่งออกได้เกิน 7.07 ล้านตันแล้ว มีโอกาสถึง 10 ล้านตัน แต่อนาคตน่าห่วง เพราะมีปัจจัยเสี่ยงมาก ทั้งเงินบาทแข็ง ต้องแข่งเรื่องราคากับคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย และยังมีผลกระทบด้านต้นทุนจากการรับจำนำ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาและมีมาตรการช่วยเหลือให้กับผู้ส่งออก”นางสาวกอบสุขกล่าว
นางสาวกอบสุขกล่าวว่า สัปดาห์หน้า กระทรวงพาณิชย์ จะเชิญประชุมผู้เกี่ยวข้องด้านข้าว เพื่อเสนอข้อเสนอต่างๆ ต่อรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐบาลใหม่ ซึ่งสมาคมฯ จะนำข้อมูลสถานการณ์การค้าข้าวและผลกระทบจากนโยบายการตั้งราคารับจำนำข้าวที่สูงเกินไป และรัฐบาลต้องมาดูแลอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมข้าวจะเกิดความเสียหายครั้งใหญ่ และกระทบต่อชาวนาในอนาคต
ส่วนนโยบายการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทนั้น อาจมีผลกระทบสำหรับผู้ส่งออกบางรายที่ใช้แรงงานจำนวนมาก แต่ในภาพรวมยังไม่กระทบมากนัก เพราะส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนแล้ว และไม่น่าจะมีผลทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า นโยบายรับจำนำข้าวสูงถึงตันละ 15,000-20,000 บาท จะทำให้ราคาส่งออก (เอฟโอบี) ข้าวขาวเพิ่มจากปัจจุบันตันละ 530-540 เหรียญสหรัฐ เป็นตันละ 830 เหรียญสหรัฐ ส่วนข้าวหอมมะลิจะเพิ่มเป็นตันละ 1,400 เหรียญสหรัฐ ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและสูญเสียการเป็นผู้นำส่งออกข้าวไทยได้ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยปี 2555 ลดลงจากปี 2554 ประมาณ 50% หรือลดลง 5-6 ล้านตัน
“ไทยอาจต้องสูญเสียตลาดส่งออกข้าวขาวและข้าวหอมมะลิให้เวียดนาม เสียตลาดข้าวนึ่งให้อินเดีย รัฐบาลใหม่ต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือ และอุดหนุนราคาไม่ให้สูงกว่าคู่แข่ง เช่น การตั้งราคาระบายข้าวใกล้เคียงกับราคาตลาด และทบทวนการตั้งราคารับจำนำข้าวใหม่”นายชูเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมข้าวถุงไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวถึงเดือนละ 1 ล้านตันอาจมีผลต่อปริมาณข้าวถุงในประเทศที่จะมีปัญหาด้านผลผลิตลดลงบ้าง แต่ข้าวใหม่ก็จะออกมาชดเชยทุก 4 เดือน และข้าวเปลือกนาปีปี 2554/55 ที่จะออกสู่ตลาดในเดือนก.ย.นี้ ได้มีการประเมินแล้วว่าปริมาณผลผลิตจะเพิ่มถึง 25 ล้านตัน สูงกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 21-22 ล้านตัน เพราะน้ำมาก ดั้งนั้น ปริมาณข้าวถุงในประเทศจึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนในเรื่องราคา ต้องรอดูว่าการจำนำจะมีผลต่อราคาข้าวในไตรมาสสุดท้ายหรือไม่
**พท.ดักคอ “เจ๊วา”เร่งระบายข้าว
ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 27 ก.ค. นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่มีข่าวว่านางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เตรียมเสนอเรื่องขออนุมัติให้มีการระบายข้าวจำนวน 8.5 แสนตัน ว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร รัฐบาลรักษาการควรจะรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการ เพราะเราบอกไปแล้วว่าจะไม่นำข้าวมาเทกระจาดขายถูกๆ แต่ถ้าขายตอนนี้ราคาแตกต่างกัน ราคาปัจจุบันมากกว่าที่ราคากระสอบละ 1,000 บาท เมื่อคูณเข้าไปจะเป็นจำนวน 8 ล้านกระสอบ ถามว่าเป็นเงินเท่าไหร่ จึงขอบอกว่าไม่ควรไปดำเนินการ และขอบอกคนที่ไปวิ่งเต้นจ่ายเงินใต้โต๊ะ เมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจะเลิกทั้งหมด และใช้วิธีประมูลในตลาดเกษตรล่างหน้า ไม่ใช่ตกลงขายเพียงพ่อค้าไม่กี่ราย
ส่วนข้าวกว่า 1 ล้านตัน ในสต็อกจะบรรจุขายเป็นสินค้าธงฟ้า ดังนั้นรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการ แม้แต่สมาคมผู้ค้าข้าวถุงก็บอกว่ารอได้ ไม่ควรมาอ้างว่าข้าวขาดแคลน เพราะจะทำให้รัฐบาลเกิดความเสียหายได้