xs
xsm
sm
md
lg

สื่อสาร(ที่ไม่ซื่อต่อ)มวลชน

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


แม้จะอยู่ในฟากฝั่งที่ปฏิเสธระบบการเมืองล้มเหลว โดยกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ไม่ยอมมอบอธิปไตยให้นักการเมืองที่ไม่ซื่อตรงนำสิทธิ์และเสียงไปอ้างเป็นตัวแทนใช้อำนาจรัฐปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองเหมือนที่ผ่านมา

แต่เมื่อเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย ก็จำต้องทำใจยอมรับสภาพที่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ยังยินยอมพร้อมใจที่จะให้ระบบการเมืองเส็งเครง นำพาประเทศชาติ โดยเลือกผู้แทนจำนวน 500 คน ให้ไปใช้อำนาจรัฐแทนคนไทยทั้งประเทศ ในท่วงทำนองที่ว่านี่คือการเมืองระบอบประชาธิปไตย อันใสสะอาดและยุติธรรม

ผมไม่แปลกใจและไม่ผิดคาดต่อผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เพราะคาดการณ์ได้มาแต่ต้นว่า ปรากฏการณ์และสิ่งบอกเหตุทางการเมือง จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ และพรรคเพื่อไทยจะชนะ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า จะได้คะแนนเสียงถึง 15 ล้านเสียงจากจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 35 ล้านคน และได้ ส.ส.ถึง 265 คน จาก 500 คน และจำนวน ส.ส.จะห่างจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้ 159 คน ต่างกันมากกว่าร้อยคน

สิ่งเดียวที่ผมทำใจไม่ได้มาโดยตลอด ก็คือ บรรดาสื่อสารมวลชนของประเทศนี้ ทั้ง วิทยุ ทีวี และหนังสือพิมพ์ ซึ่งแทนที่จะทำหน้าที่สื่อสะท้อนความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้มวลชนได้รับรู้และเห็นถึงสภาพความเป็นจริงของการเลือกตั้ง การหาเสียง ซึ่งฉ้อฉล ผิดกฎหมาย และไม่ซื่อไม่ตรงอย่างไร รวมไปถึงการจัดการเลือกตั้งและการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของ กกต.ซึ่งเป็นเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม นอกจากไม่สะท้อนความจริงแล้ว สื่อมวลชนแทบทั้งมวล ยังเฮโลสาระพา กลายเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ เป็นสื่อสนับสนุนสิ่งเลวร้ายทั้งมวลให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมไป

สนับสนุนกันประหนึ่งว่า ที่เห็นที่เป็นอยู่นั้นคือ การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ที่คนไทยควรจะต้องเคารพและยอมรับมัน ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยมาจากเสียงสวรรค์ของประชาชนคนเสื้อแดงที่เทิดทูนบูชาทักษิณ ชินวัตร อย่างบริสุทธิ์ใจ เราจึงได้เห็นการถ่ายทอดสดการโฟนอิน และวิดีโอลิงก์ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ห้วงเวลาการหาเสียงจนถึงขั้นตอนที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาล และหนักข้อยิ่งกว่านั้นฟรีทีวีหลายช่องถึงกับส่งพิธีกรและยกกองถ่ายทำไปสัมภาษณ์สดนักโทษหนีคดีถึงดูไบ ประหนึ่งเป็นผู้ชนะและจัดตั้งรัฐบาลเอง

ในระหว่างขั้นตอนที่ กกต.กำลังทำหน้าที่พิจารณาว่าจะรับรองหรือไม่รับรองผู้ชนะการเลือกตั้ง สื่อมวลชนอย่างหนังสือพิมพ์มติชน นอกจากจะไม่สนับสนุนให้ กกต.ทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงแล้ว ยังกลับเขียนในเชิงคาดคั้นและข่มขู่ให้ กกต.ต้องเร่งรับรองตามกำหนดเวลา เพื่อให้เปิดสภาเลือกนายกรัฐมนตรีได้โดยเร็ว โดยใช้วาทกรรมว่า หาก กกต.ไม่รับรอง จะถือเป็นการ “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการทางกฎหมาย” ดังนี้ เสมือนหนึ่งว่า มติชนเห็นว่า ไม่ว่าผู้ชนะการเลือกตั้งจะทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งอย่างไร กกต.ก็ต้องรับรอง และวาทกรรมนั้น เป็นการรองรับให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังออกมากดดัน กกต.อย่างหนัก กลายเป็นการกดดันเพื่อต่อต้านการรัฐประหารซ้อนอย่างชอบธรรมไปกลายๆ

เห็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของสื่อมวลชนไทยในขณะนี้แล้ว ทำให้หวนคิดไปถึงกระบวนการแทรกแซงสื่อของอำนาจรัฐ ในยุคที่ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ ซึ่งถ้าหากคนไทยยังจำกันได้ ทักษิณบริหารจัดการสื่อสารมวลชน โดยได้มีการควบคุมสั่งการให้สถานีวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่อง เสนอข่าวการดำเนินงานของทักษิณและรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียวทุกวัน กีดกันและห้ามไม่ให้เสนอข่าวของฝ่ายค้าน หรือบุคคลที่มีความคิดเห็นต่าง ส่วนในด้านหนังสือพิมพ์ฉบับใดที่เสนอข่าวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจะถูกคุกคาม กลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ถอนโฆษณา ให้สรรพากรตรวจสอบภาษี และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าตรวจสอบฐานะการเงิน เพื่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อกิจการ จนก่อให้เกิดความหวาดกลัวโดยถ้วนหน้ากันทุกฉบับ

สำหรับผู้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์ รายใดที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในด้านลบ และไม่อาจสั่งการควบคุมได้ ก็จะถูกกดดันให้ถอดถอนผู้ดำเนินรายการหรือถอดทั้งรายการออกไป เหล่านั้นคือสภาพความเป็นจริง ที่สื่อสารมวลชนถูกคุกคามแทรกแซงอย่างรุนแรง ในยุคที่นายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

การชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายครั้งนี้ ทำให้อำนาจรัฐหวนคืนสู่อุ้งมือทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งหนึ่ง โดยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงที่ทักษิณระบุว่าโคลนนิ่งจากตัวตนของเขาอย่างเต็มเปี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือว่าสื่อมวลชนไทยจะเป็นนกรู้ที่ไม่ต้องรอให้ถูกคุกคามแทรกแซงเหมือนในอดีต แต่ยินยอมพร้อมใจและชิงปวารณาตนที่จะรับใช้พระเดชพระคุณท่านอย่างศิโรราบโดยดุษฎี

น่าวังเวงใจนะครับ ในยุคที่สังคมไทยเต็มไปด้วยสื่อที่ไม่ซื่อต่อมวลชน ผมขอหยิบยืมบทกวีของ ว.แหวนลงยา มาสะท้อนภาพสื่อมวลชนดังนี้ครับ

อย่าแปลกใจไปเลยครับ ถ้าสื่อสารมวลชนไทยยังบิดเบี้ยวพิกลพิการอย่างที่เห็น การเมืองไทย และสังคมไทยก็ยากยิ่งจะหลุดพ้นจากวังวนงมโง่งมงาย ไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่ตื่นรู้และเบิกบานอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น