ศึกซื้อลิขสิทธิ์กีฬาแข่งดุ ส่งต้นทุนพุ่ง20% สูงสุดรอบ 15ปี ล่าสุด"ทรูวิชั่นส์" คว้าสิทธิ์ถ่ายทอดสดเพย์ทีวี-ฟรีทีวี ฟุตบอล ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก- ยูโรป้าลีก 3 ฤดูกาล หลังวืดบุนเดสลิกา-ลาลีกา มั่นใจรักษาฐานสมาชิกพรีเมี่ยมได้แน่ พร้อมลุยตลาดอินโดจีน จับมือพันธมิตรท้องถิ่นขายคอนเท้นท์ 24 ช่อง ลงฟรีทีวี- เพย์ทีวี
นายอรรถพล ณ บางช้าง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้พบว่า สถานการณ์ของการประมูลลิขสิทธิ์กีฬารายการมีการแข่งขันที่รุนแรงมากสุด ตั้งแต่ทรูฯเข้ามารุกธุรกิจเพย์ทีวี ซึ่งในทุกรายการจะมีผู้ประกอบการไทย ทั้งในกลุ่มคอนเท้นท์โพไวเดอร์ ฟรีทีวี และธุรกิจเกี่ยวกับสื่อและเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เข้าร่วมประมูล เพิ่มขึ้นทุกรายการ ทำให้ทรูฯไม่สามารถชนะการประมูลในบางรายการได้ ขณะเดียวกันยังต้องบริหารต้นทุนคอนเท้นท์มากยิ่งขึ้น โดยยังพบอีกว่าลิขสิทธิ์กีฬาในรอบนี้ ซึ่งครอบคลุมถึงไปอีก 4 ปี หรือถึงปี 2015 มีต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นถึง20% สูงสุดในรอบ 10 ปี
"ปีนี้สถานการณ์การแข่งขันรุนแรงมาก ยอมรับว่าทรูฯไม่สามารถซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลลีกดังได้ทุกรายการ แต่ได้วางกลยุทธ์การแข่งขันเลือกลีกที่ดีที่สุดมานำเสนอ ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมสามารถประกอบกิจการอยู่รอดได้ เชื่อมั่นว่า จะทำให้ 3-4 ปีต่อจากนี้ จะยังคงรักษาฐานสมาชิกเก่า และยังเพิ่มสมาชิกใหม่ในกลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นด้วย"
ทั้งนี้หลังจากที่ทางทรูฯได้พลาดการประมูล อย่าง ลิขสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน ซึ่งทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้ไป และอาร์เอสได้ลิขสิทธ์รายการลาลีกา สเปน ในการแข่งขันปีหน้า หรือฤดูกาลปี 2012/13 -2014/15 ไปแทน จากที่เราได้สิทธิ์มาตลอด ล่าสุดทรูฯ ได้รับการประกาศจากยูฟ่า ว่าเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล 2 รายการระดับโลก คือยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า ยูโรป้า ครบทุกนัด 3 ฤดูกาล เริ่มปี 2012/13-2014-15 ทั้งช่องทางเพย์ ทีวี และฟรีทีวี ซึ่งในปี 2553และ2554 ช่อง3 และช่อง7 ได้เป็นผู้รับลิขสิทธ์การถ่ายทอดสดยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยในปีหน้า จะมีการร่วมมือกับช่อง 3 และช่อง7 เพื่อถ่ายทอดสดสัปดาห์ละ 2 แมทช์เหมือนเดิม เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้จากโฆษณามั่นใจว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาฐานสมาชิกกลุ่มพรีเมี่ยม ในแพ็คเกจแพลทินัม และโกลด์ให้อยู่กับทรูฯต่อไป
อย่างไรก็ตาม ลิขสิทธิ์ที่ได้ครั้งนี้ ยังครอบคลุมทั้งไทย ลาว และกัมพูชาด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการขยายฐานในกลุ่มประเทศอินโดจีน บริษัทจึงได้เจรจาซื้อลิขสิทธิ์คอนเท้นท์ต่างประเทศเพิ่มทั้งกีฬาและบันเทิงให้ครอบคลุมอินโดจีน ซึ่งต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่จะทำให้เกิดโอกาสในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น ในภาวะการแข่งขันในประเทศไทยที่รุนแรงโดยบริษัทจะเริ่มบริหารลิขสิทธ์กีฬา และช่องรายการที่ทรูวิชั่นส์ผลิตเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 24 ช่อง เข้าไปยังกลุ่มประเทศโดจีน โดยการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ทั้งในช่องทางเพย์ทีวี และฟรีทีวี ในปีหน้า
นายอรรถพล ณ บางช้าง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้พบว่า สถานการณ์ของการประมูลลิขสิทธิ์กีฬารายการมีการแข่งขันที่รุนแรงมากสุด ตั้งแต่ทรูฯเข้ามารุกธุรกิจเพย์ทีวี ซึ่งในทุกรายการจะมีผู้ประกอบการไทย ทั้งในกลุ่มคอนเท้นท์โพไวเดอร์ ฟรีทีวี และธุรกิจเกี่ยวกับสื่อและเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เข้าร่วมประมูล เพิ่มขึ้นทุกรายการ ทำให้ทรูฯไม่สามารถชนะการประมูลในบางรายการได้ ขณะเดียวกันยังต้องบริหารต้นทุนคอนเท้นท์มากยิ่งขึ้น โดยยังพบอีกว่าลิขสิทธิ์กีฬาในรอบนี้ ซึ่งครอบคลุมถึงไปอีก 4 ปี หรือถึงปี 2015 มีต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นถึง20% สูงสุดในรอบ 10 ปี
"ปีนี้สถานการณ์การแข่งขันรุนแรงมาก ยอมรับว่าทรูฯไม่สามารถซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลลีกดังได้ทุกรายการ แต่ได้วางกลยุทธ์การแข่งขันเลือกลีกที่ดีที่สุดมานำเสนอ ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมสามารถประกอบกิจการอยู่รอดได้ เชื่อมั่นว่า จะทำให้ 3-4 ปีต่อจากนี้ จะยังคงรักษาฐานสมาชิกเก่า และยังเพิ่มสมาชิกใหม่ในกลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นด้วย"
ทั้งนี้หลังจากที่ทางทรูฯได้พลาดการประมูล อย่าง ลิขสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน ซึ่งทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้ไป และอาร์เอสได้ลิขสิทธ์รายการลาลีกา สเปน ในการแข่งขันปีหน้า หรือฤดูกาลปี 2012/13 -2014/15 ไปแทน จากที่เราได้สิทธิ์มาตลอด ล่าสุดทรูฯ ได้รับการประกาศจากยูฟ่า ว่าเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล 2 รายการระดับโลก คือยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า ยูโรป้า ครบทุกนัด 3 ฤดูกาล เริ่มปี 2012/13-2014-15 ทั้งช่องทางเพย์ ทีวี และฟรีทีวี ซึ่งในปี 2553และ2554 ช่อง3 และช่อง7 ได้เป็นผู้รับลิขสิทธ์การถ่ายทอดสดยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยในปีหน้า จะมีการร่วมมือกับช่อง 3 และช่อง7 เพื่อถ่ายทอดสดสัปดาห์ละ 2 แมทช์เหมือนเดิม เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้จากโฆษณามั่นใจว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาฐานสมาชิกกลุ่มพรีเมี่ยม ในแพ็คเกจแพลทินัม และโกลด์ให้อยู่กับทรูฯต่อไป
อย่างไรก็ตาม ลิขสิทธิ์ที่ได้ครั้งนี้ ยังครอบคลุมทั้งไทย ลาว และกัมพูชาด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการขยายฐานในกลุ่มประเทศอินโดจีน บริษัทจึงได้เจรจาซื้อลิขสิทธิ์คอนเท้นท์ต่างประเทศเพิ่มทั้งกีฬาและบันเทิงให้ครอบคลุมอินโดจีน ซึ่งต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่จะทำให้เกิดโอกาสในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น ในภาวะการแข่งขันในประเทศไทยที่รุนแรงโดยบริษัทจะเริ่มบริหารลิขสิทธ์กีฬา และช่องรายการที่ทรูวิชั่นส์ผลิตเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 24 ช่อง เข้าไปยังกลุ่มประเทศโดจีน โดยการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ทั้งในช่องทางเพย์ทีวี และฟรีทีวี ในปีหน้า
