xs
xsm
sm
md
lg

AREAจัด15อันดับแชมป์ เปิดโครงการใหม่มูลค่าสูงสุดในรอบครึ่งปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผุ้จัดการรายวัน – AREA จัด 15 อันดับบริษัทอสังหาฯแซมป์เปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงสุด พฤกษามาเป็นอันดับ 1 เปิด 32 โครงการ 10,147 หน่วย มูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้าน อันดับ 2 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิด 10 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้าน เผยบริษัทมหาชนครองส่วนแบ่ง 2 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวม

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA จัดลำดับบริษัทที่มีการเปิดขายโครงการใหม่เรียงตามมูลค่าของโครงการ 15 อันดับแรก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ได้แก่ 1. บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิด 32 โครงการ จำนวน 10,147 หน่วย มูลค่ารวม 23,799 ล้านบาท

2. บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิด 10 โครงการ จำนวน 3,445 หน่วย มูลค่ารวม 15,506 ล้านบาท, 3. บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิด 1 โครงการ จำนวน 1,458 ยูนิต มูลค่า15,229 ล้านบาท, 4. บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิด 7 โครงการ จำนวน 1,690 ยูนิต มูลค่ารวม 7,791 ล้านบาท, 5. บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิด 3 โครงการ จำนวน 1,214 หน่วย มูลค่ารวม 6,142 ล้านบาท

6, บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิด 6 โครงการ จำนวน 6,375 หน่วย มูลค่ารวม 5,688 ล้านบาท, 7. บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด เปิด4 โครงการ จำนวน 1,437 หน่วย มูลค่ารวม 4,164 ล้านบาท, 8. บริษัทเฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิด 1โครงการ จำนวน 477 หน่วย มูลค่า 3,791 ล้านบาท, 9. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิด 2 โครงการ จำนวน 608 หน่วย มูลค่ารวม 3,504 ล้านบาท, 10. บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด เปิด 2 โครงการ จำนวน 1,950 หน่วย มูลค่า 3,410 ล้านบาท

11. บริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด เปิด 1 โครงการ จำนวน 514 หน่วย มูลค่า 3,136 ล้านบาท, 12. บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิด 1 โครงการ จำนวน 556 หน่วย มูลค่า 2,539 ล้านบาท, 13. บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิด 4 โครงการ จำนวน 649 หน่วย มูลค่า 1,800 ล้านบาท, 14. บริษัท เดอะแวลู พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิด 1 โครงการ จำนวน 702 หน่วย มูลค่า1,527 ล้านบาท และ15. บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิด 4 โครงการ จำนวน 981 หน่วย มูลค่ารวม 1,387 ล้านบาท

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร AREA กล่าวว่า จะสังเกตได้ว่า พฤกษายังครองแชมป์เป็นบริษัทที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุด ผลิตได้มากถึง 19% ของหน่วยขายทั้งหมดที่เปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2554 หรือ 15% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งนับว่าสูงมาก อาจกล่าวได้ว่าบริษัทมหาชนครองส่วนแบ่งอยู่เกือบสองในสามของมูลค่าทั้งตลาด แต่จำนวนหน่วยมีประมาณครึ่งหนึ่งของตลาด

ทั้งนี้จากการสำรวจโครงการที่ยังเปิดขายในช่วงเดือนธันวาคม 2553 กับเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า มีโครงการที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น 23% ส่วนอีก 9% ปรับราคาลดลง นอกนั้น 68% ยังคงราคาขายตามเดิม แสดงให้เห็นว่า ภาวะตลาดไม่ได้ตกต่ำลง ยังคงมีความคึกคักอยู่ เพียงแต่ความความคึกคักในช่วงนี้อาจเป็นผลจากการเก็งกำไร ซึ่งปรากฏว่าห้องชุดจำนวนมากมีการซื้อขายยกชั้น หรือซื้อครั้งละหลายหน่วย ผู้ขายถึงขนาดสอบถามผู้ซื้อว่าสนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือการลงทุน แสดงให้เห็นว่า การลงทุนด้านที่อยู่อาศัยที่มีเพิ่มขึ้นในระยะที่ผ่านมา

โดยสรุปแล้วราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 1.1% ที่เห็นเพิ่มขึ้นน้อยเพราะเป็นโครงการที่ยังมีการขายในรอบ 6 เดือน ส่วนที่ขายดีส่วนมากก็คงขายหมดไปแล้ว ตัวเลขนี้จึงอาจต่ำกว่าความเป็นจริง ในอีกส่วนหนึ่งสำหรับบ้านมือสองประเภทต่าง ๆ จากการสำรวจพบว่า ทุกกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นตามลำดับในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้น่าจะมาจากการเพิ่มขึ้นตามบ้านมือหนึ่ง อย่างไรก็ตามในกรณีห้องชุดราคาถูก (ไม่เกิน 0.7 ล้านบาท) กลับมีราคาตกต่ำลงเพราะขาดการดูแลจัดการทรัพย์สินเท่าที่ควร

ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯทำนายว่า1. บ้านเดี่ยว ราคา 1-3 ล้านบาท จะมีแนวโน้มลดลง เพราะมีอุปทานเหลืออยู่มาก และบางแห่งตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ดีนัก, 2. บ้านเดี่ยวราคาเกิน 5 ล้านบาท และมีจำนวนมากที่ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มเฉพาะ แม้มีจำนวนไม่มากนัก ก็กลับมีแนวโน้มเกิดเพิ่มขึ้น แต่เป็นลักษณะ ‘บ้านสั่งสร้าง’ เพื่อป้องกันปัญหาความเสี่ยงจากการล้นตลาด

3. ทาวน์เฮาส์ราคาถูกไม่เกิน 1 ล้าน หรือราคาโดยรวมไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะที่ราคาถูกก็ทำให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยได้มากขึ้น ส่วนที่ราคาปานกลางก็ใช้ทดแทนบ้านเดี่ยวที่อาจตั้งอยู่ห่างไกล และ 4. กลุ่มโครงการอาคารชุดที่เกิดมากขึ้นเป็นการนำเสนอขายห้องชุดราคาเกิน 5 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนไม่มาก แต่อยู่ในทำเลดี ขายได้ไม่ยากเพราะเหมาะสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งยังมีศักยภาพในการซื้อ

อย่างไรก็ตาม หากในปี 2556 เศรษฐกิจของประเทศเกิดชะลอตัวลงอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือการแข่งขันในระดับนานาชาติก็ตาม อาจส่งผลกระทบให้ความสามารถในการซื้อและการผ่อนของประชาชนลดลง ในขณะที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงปี 2553-2555 จนอาจเกิดหนี้เสียได้มากเพราะสถาบันการเงินในขณะนี้ก็แข่งขันกันอำนวยสินเชื่อสูงกว่าหรือเท่ากับราคาบ้านในปัจจุบันโดยขาดความเข้มงวด ในกรณีเช่นนี้วิกฤติอสังหาริมทรัพย์จึงอาจหลีกเลี่ยงได้ยากในปี 2556 ที่คาดว่าจะมีอุปทานล้นเกินอย่างชัดเจน
กำลังโหลดความคิดเห็น