xs
xsm
sm
md
lg

เงินนอกจ่อเข้าตลาดหุ้นต่างชาติรอตั้งรบ.ใหม่ชัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ - โบรกฯเชื่อต่างชาติไม่ทิ้งหุ้นไทย แม้กกต.ยังไม่รองรับส.ส.ถึง 95% ชี้แค่ชะลอการลงทุนรอดูความชัดเจน โดยเม็ดเงินจากนอกประเทศพร้อมไหลเข้าตลาดหุ้น หากทุกอย่างแน่ชัด ดันดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่ม เหตุบริษัทจดทะเบียนไทยมีศักยภาพ อีกทั้งผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง

นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยว่า ในช่วงนี้ความเคลื่อนไหวของดัชนีปรับตัวไปตามปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ ส่วนกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้ง 95% มองว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งในฝั่งของนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบัน รวมถึงรายย่อย เช่นกัน เนื่องจากจะทำให้ความชัดเจนในนโยบายการบริหารประเทศล่าช้าลงไป

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความล่าช้าจากเรื่องดังกล่าว จะไม่มีผลถึงขั้นนักลงทุนต่างชาติการเทขาย หรือการถอนเงินลงทุนออกไปจากตลาดหุ้นจำนวนมาก แต่จะเป็นเพียงการชะลอเข้ามาลงทุนหุ้นไทยช่วงนี้มากกว่า และเมื่อเรื่องนี้มีความชัดเจน เชื่อว่าจะเห็นเม็ดเงินจากภายนอกไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“เรามองเป้าดัชนีปลายปีนี้ไว้ที่ 1,250 จุด และเชื่อว่ามีโอกาสได้เห็น แต่ตอนนี้หลายฝ่ายจับตาดูสถานการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งหากเหตุการณ์คลี่คลายไปได้ด้วยดีก็จะส่งต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน”

นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้ปัจจัยที่จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น หนีไม่พ้นความชัดเจนในการตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งต้องมีความชัดเจนในเรื่องคณะรัฐมนตรี และนโยบายในการบริหาร ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อว่าเสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้ ยังไม่มั่นคงเท่าที่ควร แต่ถ้ามองในระยะสั้นหากความชัดเจนในเรื่องตัวบุคคลเกิดขึ้น ก็จะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ จึงเชื่อว่า จะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศจำนวนมากพร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะจากการสอบถามนักลงทุนเหล่านี้พบว่า ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั้งแบบในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากเชื่อมั่นในพื้นฐานศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ที่สามารถเติบโตได้โดยไม่มีผลกระทบจากปัญหาเรื่องการเมือง หรือได้รับผลกระทบน้อย

“หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเข้าลงทุนสูง เห็นได้จากอัตราเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบในเฉพาะภูมิภาค นั่นหมายถึงโอกาสในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนหุ้น เพียงแต่ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าเข้ามา เพราะต้องการรอความชัดเจนในเรื่องรัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรี และนโยบาย เพื่อสามารถมองเห็นแนวโน้มและทิศทางของประเทศได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับกกต.จะรองรับผลการเลือกตั้งได้เร็วแค่ไหน เพราะหากช้าไปก็มีผลต่อการเข้าลงทุนเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศจะชะลอการลงทุนเพื่อรอรับทราบผลดังกล่าวก่อน”

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)วรรณ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น จากปัจจัยบวกในด้านของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและบรรยากาศการลงทุนที่ดี โดยคาดว่าดัชนีจะปรับตัวอยู่ที่ 1,200 จุด ตามที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในส่วนของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นนั้น คาดว่าปัญหาต่างๆจะสามารถคลี่คลายได้ในครึ่งปีหลัง โดยสหรัฐฯ ได้มีนโยบายในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจริง ราคาหุ้นของสหรัฐฯจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย

"หลังจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือระบบเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านการเมือง แต่ปัจจัยที่เราควรจะจับตามองเป็นพิเศษคือในเนื่องของภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น หากมีการแก้ไขหรือจัดการกับเงินเฟ้อได้ ก็จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศ ดังนั้นสิ้นปี เรายังคาดว่าดัชนีจะสามารถแตะ 1,200 จุด ได้ตามการคาดการณ์เดิม" นายมนรัฐ กล่าว

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,079.91 จุด เพิ่มขึ้น 2.51 จุด หรือ 0.23% มูลค่าการซื้อขาย 21,384 ล้านบาท นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นแกว่งตัวแคบทั้งแดนบวกและแดนลบสลับกันตลอดวัน ตัวแปรด้านบวก คือ ความคาดหวังสหรัฐใช้ QE3 ซึ่งตลาดรับข่าวตั้งแต่เมื่อวานนี้ ขณะที่ปัจจัยลบ คือ ความกังวลมูดีส์อาจจะลดเครดิตเรตติ้งของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นแกว่งบวกลบไม่ไกล ขณะที่วอลุ่มเบาบาง ดังนั้น เมื่อดัชนีขยับขึ้นแต่วอลุ่มไม่ซัพพอร์ตจึงเผชิญกับแรงขายทำกำไร ประกอบกับเข้าช่วงหยุดยาวทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเลือกขายลดเสี่ยง และต้องรอลุ้นการประชุมเรื่องกรีซอาจจะเกิดความเสี่ยงที่จะเกิด default บางส่วน ทำให้แนวโน้มสัปดาห์หน้าต้องติดตามเรื่องกรีซด้วย

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (18-22 ก.ค.) ดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยจะต้องติดตามความคืบหน้าประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของธนาคารในยุโรป การรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ เครื่องชี้วัดที่อยู่อาศัย ตลอดจนตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ไทย

ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,069 และ 1,046 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,090 และ 1,109 จุด ตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น