“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ผู้นิยมการเมืองแบบระบอบสัมปทานธิปไตยทั้งหลายคงแสดงอาการยินดีกันอย่างทั่วหน้ากับการที่พรรคการเมืองซึ่งเสนอราคาการประมูลอำนาจอธิปไตยสูงสุด ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากผู้เลือกตั้งซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจำนวนมากที่สุด และกำลังเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล
โดยปกติการจัดตั้งรัฐบาลผสมในประเทศไทย หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคการเมืองที่ได้รับโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจและต่อรองเกี่ยวกับการเลือกพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาล การจัดสรรตำแหน่งแก่พรรคการเมืองต่างๆ แต่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกลับไม่มีบทบาทในเรื่องดังกล่าวแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับหนึ่งซึ่งได้รับการวางตัวจากพรรคเพื่อไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรีในกรณีที่พรรคได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็แทบจะไม่มีบทบาทใดๆเลยเช่นกันในการคัดเลือกและตัดสินใจว่าใครพรรคใดจะเข้าร่วมรัฐบาลที่เธอกำลังจะเป็นผู้นำในอนาคตอันใกล้
กลับกลายเป็นว่านายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดคดีอาญาซึ่งหลบหนีคำพิพากษาของศาลไทยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดว่าพรรคใดจะได้ที่นั่งในคณะรัฐมนตรีเท่าไร กระทรวงใดบ้าง และใครจะเป็นรัฐมนตรี
อันที่จริงร่องรอยเชิงประจักษ์ซึ่งแสดงให้สังคมเห็นถึงการครอบงำและบงการอย่างชัดเจนของนายทักษิณ ชินวัตรที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ก็คือ ป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยเองที่ระบุอย่างชัดเจนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และรวมถึงการที่สั่งให้พรรคเพื่อไทยบรรจุนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวตนเองเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคลำดับที่หนึ่ง เพราะหากทักษิณ ชินวัตรไม่มีอำนาจเหนือพรรคเพื่อไทยแล้ว คงไม่มีทางที่หญิงวัยกลางคนอายุ 44 ปี ผู้นี้ซึ่งไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองใดๆเลยจะกลายมาเป็นผู้สมัครลำดับหนึ่งของพรรคนี้ได้
ความสามารถและประสบการณ์ การบริหาร การเมือง และมวลชนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากเปรียบเทียบกับสมาชิกระดับแนวหน้าคนอื่นๆของพรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะเป็น นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือ แม้แต่แกนนำเสื้อแดงอย่างจตุพร พรมพันธุ์ เรียกได้ว่าคนเรื่องหรือเป็นมือคนชั้นเหมือนนักมวยสมัครเล่นเปรียบกับนักมวยอาชีพอย่างไรอย่างนั้น
หากเป็นพรรคการเมืองทั่วๆ ไปซึ่งกรรมการบริหารพรรคมีอำนาจในการตัดสินใจในกิจการของพรรคแล้วด้วยความสามารถและประสบการณ์อันน้อยนิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีทางที่เธอจะได้รับการจัดวางให้เป็นผู้สมัครลำดับที่หนึ่งและเป็นตัวแทนของพรรคในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่มีทางที่พวกแก่พรรษาทางการเมืองทั้งหลายในพรรคเพื่อไทยจะยอมรับเธอ หากนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจริงไม่สั่งการลงมา
อันที่จริงการเป็นเจ้าของพรรคและการสั่งการของนายทักษิณ ชินวัตร ภายในพรรคเพื่อไทยไม่ใช่ความลับแต่ประการใดเพราะ นายทักษิณ ชินวัตรได้แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงการมีอำนาจเหนือพรรคของตนเองตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดว่าใครควรเป็นหัวหน้าพรรค การกำหนดลำดับบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรค หรือ การกำหนดว่าควรใช้นโยบายใดในการหาเสียง
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกเปิดเผยต่อสาธารณะว่า “ตนได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนฝูงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดคุยกับพรรคต่างๆ ให้มาจัดตั้งรัฐบาลกับเขา” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทย มีเพื่อนฝูงในแวดวงการเมืองและพรรคการเมืองอย่างกว้างขวาง อีกทั้งในอดีตก็เคยเป็นเพื่อนสนิทสนมกับนายทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นข่าวสารที่เขาได้รับและออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะในเรื่องนี้ย่อมเป็นข้อมูลที่รับฟังได้ และข้อมูลนี้ย่อมเป็นร่องรอยสำคัญประการหนึ่งในการอนุมานว่า รัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้งขึ้นมา ตกอยู่ภายใต้การบงการของนายทักษิณ ชินวัตร
ร่องรอยประกอบอีกประการคือ การที่สำนักข่าวเอเชียไทม์ได้ออกมาเปิดเผยว่า นายวัฒนา เมืองสุข ในฐานะตัวแทนของทักษิณ และรัฐมนตรีกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เจรจาต่อรองกันที่ประเทศบรูไนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และได้หารือกันอีกหลายครั้ง รวมทั้งที่นครดูไบ โดยกองทัพตกลงที่จะเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งแลกกับคำมั่นสัญญาของทักษิณที่จะไม่แก้แค้นทางการเมือง หรือ ดำเนินคดีกับบรรดาผู้นำทหารที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 และเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว
แม้ว่าภายหลังทั้งนายวัฒนา เมืองสุข และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะออกมาปฏิเสธ แต่เรื่องนี้หากไม่มีมูลความจริงแล้ว สำนักข่าวเอเชียไทม์ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาคมโลก คงไม่กล้าที่จะเปิดเผยออกมา ดังนั้นเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องที่รับฟังได้ และหากพิจารณาร่วมกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง(ขณะที่มีการเจรจา) รวมทั้งความจริงที่ว่าทหารเคยทำรัฐประหาร ขับไล่รัฐบาลทักษิณใน พ.ศ. 2549 และการที่ทหารเป็นกองกำลังหลักในการปราบปรามผู้ก่อจลาจลและก่อการร้ายเสื้อแดง และผู้ชุมนุมทางการเมืองซึ่งเป็นมวลชนของภายใต้การสนับสนุนของทักษิณ การเจรจาต่อรองระหว่างสองฝ่ายก็ย่อมเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงยิ่ง
ความชัดเจนของการอยู่เบื้องหลังในการจัดตั้งรัฐบาลก็มีมากยิ่งขึ้น เมื่อสื่อมวลชนหลายฉบับเสนอข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร เตรียมแผนที่จะให้ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับต้น ประมาณ 5-10 คน ผู้จะได้เป็นรัฐมนตรีให้ลาออกจากการเป็นส.ส.เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในลำดับถัดไปเลื่อนขึ้นมาแทน และได้มีการกำหนดให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกำหนดผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมและมหาดไทยแล้วอีกด้วย
และจากการที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศบรูไนหลังการเลือกตั้งเพื่อเจรจาต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีให้กับพรรคชาติไทยพัฒนา ย่อมเป็นหลักฐานที่ยืนยันอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้นว่า รัฐบาลใหม่กำลังถูกจัดตั้งโดยอาชญากรจริง
ในไม่ช้าประเทศไทยก็จะมีรัฐบาลที่ถูกจัดตั้ง สั่งการ และบงการจากอาชญากรหนีคุก ผู้ที่กำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งหลายต่างก็ต้องฟังคำสั่งของอาชญากรอย่างเชื่องๆ ว่าจะตัดสินใจในการบริหารประเทศอย่างไร จะทำนโยบายใดก่อน และจะทำในขอบเขตแค่ไหน ดังที่มีปกาศิตมาแล้วว่า นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท ให้ทำเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก่อน ไม่ใช่ทำทั้งประเทศดังที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศเอาไว้ตอนหาเสียง
คำสั่งเช่นนี้คงมีมาเรื่อยๆทั้งโดยลับและเปิดเผย รัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้งก็คงต้องทำตามคำสั่งเหล่านั้นและในไม่ช้ารัฐบาลก็จะกลายเป็นตัวตลกให้นานาอารยประเทศเขาหัวเราะเยาะและถูกมองด้วยสายตาที่ดูหมิ่นปนสมเพชเวทนา
ศักดิ์ศรีของประเทศไทยในประชาคมโลกจะอยู่ตรงไหน จะเหลือพื้นที่ให้ยืนเท่าไร ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยที่ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร ความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นคนไทยจะยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ หากประเทศของเรามีรัฐบาลที่ถูกควบคุมบงการโดยอาชญากร และบริหารเพื่อล้างผิดให้อาชญากรและผู้ก่อการร้าย