ขณะที่ กกต.มีมติเสียงข้างมาก ว่าการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งกำหนดภายในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยยึดมาตรฐานจากการยึดยอดผู้ร้องคัดค้านวันที่ 11 กรกฎาคม เป็นวันสุดท้าย ปรากฏว่า กกต.ใช้มติเสียงข้างมากให้ประกาศ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่ไม่มีเรื่องคัดค้านไปก่อน 109 คน จากยอดจำนวนเต็ม 125 คน ทำให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 16 คน ถูกกกต.ยับยั้งไม่ประกาศรับรองฐานะเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้หนึ่งจากพรรคเพื่อไทย
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ถูกยับยั้ง กกต.ยังไม่รับรองสถานภาพ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเช่นกัน สรุปพรรคเพื่อไทยถูกยับยั้ง จำนวน 11 คน และพรรคประชาธิปัตย์โดยแขวน 3 คน ส่วนอีกสองคนซึ่ง คือ นายชัย ชิดชอบ พรรคภูมิใจไทย และนางพัชรินทร์ มันปาน พรรคประชาธิปไตยใหม่
ดังนั้น จึงยังคงเป็นปัญหาพื้นฐานอันดับแรกของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง และยังคงจะยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่ง กกต.จะต้องเจอปัญหาใหญ่จากทั้งสองฝ่ายที่มีอิทธิพลพอๆ กัน แต่หากมองให้ลึกแล้ว พรรคเพื่อไทยได้เปรียบกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผลการเลือกตั้งสำแดงให้เห็นชัยชนะ และมีแกนมวลชนที่ปลุกระดมมากดดัน กกต.ได้ไม่ยากนัก และนี่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมการเมืองและนิติธรรมของไทย
ความวุ่นวายทางการเมืองก่อนการสถาปนาคณะรัฐบาล คงจะวนเวียนในเรื่องโควตาตำแหน่งรัฐมนตรี ที่เริ่มต้นจากภายในพรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งมีมุ้งพลังแรงอยู่หลายกลุ่ม และที่กำลังเป็นข่าวเกี่ยวกับการมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสำรองให้กับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หากนางสาวยิ่งลักษณ์พลาดตำแหน่งทางเทคนิค ซึ่งข่าวนี้ถูกนางสาวยิ่งลักษณ์ปฏิเสธ การช่วงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายที่ต้องได้รับมติเห็นชอบจากสมาชิกพรรค จะสร้างแรงเสียดทานในการตั้งรัฐบาล และมีพลังของคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง และน้ำหนักเสียงของเธอยังมีพลังอยู่
แต่ที่จะเป็นปัญหาซับซ้อนก็คงจะเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะต้องต่อรอง โดยเฉพาะพรรคชาติไทยพัฒนา โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ยอมรับว่าบินไปพบทักษิณที่บรูไน ซึ่งนายบรรหาร ปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องการเมืองเป็นวาระการพบปะกันครั้งนี้
นายบรรหาร น่าจะไปพูดให้เด็กอมมือฟัง เพราะจะมีใครบ้างที่จะเดินทางไปกินกาแฟกันแบบชิวชิว แต่นายบรรหาร คงอยากได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากงบประมาณที่มีทั้งตัวจริงและซ่อนเร้น แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีได้กับได้ และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอมเสียตำแหน่งนี้ เพราะมีความคิดคล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทยชำนาญการมากในเรื่องลัทธิประชานิยม และกำลังประเด็นร้อนได้แก่ค่าแรงขั้นต่ำ ที่จะสร้างปัญหาโครงสร้างต้นทุนการผลิตอยู่ในขณะนี้
เรื่องใหญ่ที่หลายคนกลัว คือ การบริหารประเทศโดยทักษิณแบบใช้ Remote Control ในหลายเรื่อง และที่กลัวกันมากที่สุดคือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้างประโยชน์ให้กับทักษิณอย่างที่เคยเป็นมา แต่ครั้งใหม่นี้วิธีการและสาระจะเนียนกว่าในอดีตที่ผ่านมา
แม้นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์หลังจากวันเลือกตั้งได้ 2 – 3 วัน ว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว”
แต่ความเป็นจริงเป็นที่รู้กันว่าทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ว่า “ผมเป็นคนเขียนนโยบายพรรคเพื่อไทยเองกับมือ สมาชิกพรรคขอคำปรึกษามาเป็นระยะๆ ผมก็แจกแจงหัวข้อต่างๆ ให้ไปแล้ว”
ที่สำคัญเป็นเรื่อง ซ.ต.พ. เมื่อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยทั้งสองฉบับ ลงหน้าหนึ่งด้วยภาพทักษิณ ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้สำแดงอิทธิพลของตนในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเงา โดยเร่งรัดให้รัฐบาลใหม่สร้างนโยบายปรองดอง
ยุทธศาสตร์นี้สำคัญเพราะเป็นการสร้างปราการชั้นนอกให้เกิดภาพลวงตา ว่าชาติต้องปรองดอง และนี่น่าจะเป็นนโยบายจอมปลอมของทักษิณ และพูดถึงงานพระราชพิธีใหญ่เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 84 พรรษา
ทักษิณพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจ และความสำคัญในส่วนงานของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน โดยตำแหน่งเหล่านี้จะต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกันทักษิณชี้แจงว่ากฎหมายนิรโทษกรรมนั้นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน และบอกว่าเรื่องสำคัญคือไม่คิดบัญชีแค้นกับใครทั้งสิ้น แม้ว่าได้กลับเข้าประเทศอีกครั้งก็ตาม แต่เชื่อว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงในกองทัพอย่างแน่นอน
ทักษิณคิดว่าการกลับเข้าประเทศนั้นเป็นเรื่องความต้องการของประชาชน หากว่ากลับเข้ามาแล้วจะเป็นผลดีกับประเทศชาติ แต่ถ้าการกลับมาของเขาสร้างปัญหาก็จะไม่คิดกลับ ในประเด็นนี้ทำให้นึกถึงการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร ในช่วงเดือนสิงหาคม 2519 จนเป็นเหตุให้เกิดการจลาจล 6 ตุลาคม 2519
ทักษิณเป็นเงาเทพหรือเงาอสูรไม่มีใครทราบได้ ทักษิณคนเดียวที่รู้ แต่ถ้าจะเป็นเงาอสูรก็มีคนไทยที่รักความชอบธรรมเฝ้าดูอยู่ หรือถ้าเงื่อนไขซ่อนเร้นของทักษิณที่กดปุ่มบังคับน้องสาวตัวเองให้เดินตามเส้นทางที่เขาต้องการนั้นชัดเจนในเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง และเอาเงิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดไปด้วยคืนกลับ คนหลากหลายนับแสนตามจำนวน Vote No ก็คงออกมาต่อต้าน
เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่น่ากลัวที่สุด เพราะตามหลักนั้นทักษิณสูญเสียไปแล้ว และหากได้คืนมาเขาสามารถใช้เงินซื้ออำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ซื้อคนของรัฐโดยง่าย และสร้างฐานการเมืองระดับล่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อนั้นเองคนไทยก็จะเห็นเงาอสูรอย่างชัดเจน
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ถูกยับยั้ง กกต.ยังไม่รับรองสถานภาพ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเช่นกัน สรุปพรรคเพื่อไทยถูกยับยั้ง จำนวน 11 คน และพรรคประชาธิปัตย์โดยแขวน 3 คน ส่วนอีกสองคนซึ่ง คือ นายชัย ชิดชอบ พรรคภูมิใจไทย และนางพัชรินทร์ มันปาน พรรคประชาธิปไตยใหม่
ดังนั้น จึงยังคงเป็นปัญหาพื้นฐานอันดับแรกของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง และยังคงจะยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่ง กกต.จะต้องเจอปัญหาใหญ่จากทั้งสองฝ่ายที่มีอิทธิพลพอๆ กัน แต่หากมองให้ลึกแล้ว พรรคเพื่อไทยได้เปรียบกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผลการเลือกตั้งสำแดงให้เห็นชัยชนะ และมีแกนมวลชนที่ปลุกระดมมากดดัน กกต.ได้ไม่ยากนัก และนี่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมการเมืองและนิติธรรมของไทย
ความวุ่นวายทางการเมืองก่อนการสถาปนาคณะรัฐบาล คงจะวนเวียนในเรื่องโควตาตำแหน่งรัฐมนตรี ที่เริ่มต้นจากภายในพรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งมีมุ้งพลังแรงอยู่หลายกลุ่ม และที่กำลังเป็นข่าวเกี่ยวกับการมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสำรองให้กับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หากนางสาวยิ่งลักษณ์พลาดตำแหน่งทางเทคนิค ซึ่งข่าวนี้ถูกนางสาวยิ่งลักษณ์ปฏิเสธ การช่วงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายที่ต้องได้รับมติเห็นชอบจากสมาชิกพรรค จะสร้างแรงเสียดทานในการตั้งรัฐบาล และมีพลังของคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง และน้ำหนักเสียงของเธอยังมีพลังอยู่
แต่ที่จะเป็นปัญหาซับซ้อนก็คงจะเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะต้องต่อรอง โดยเฉพาะพรรคชาติไทยพัฒนา โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ยอมรับว่าบินไปพบทักษิณที่บรูไน ซึ่งนายบรรหาร ปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องการเมืองเป็นวาระการพบปะกันครั้งนี้
นายบรรหาร น่าจะไปพูดให้เด็กอมมือฟัง เพราะจะมีใครบ้างที่จะเดินทางไปกินกาแฟกันแบบชิวชิว แต่นายบรรหาร คงอยากได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากงบประมาณที่มีทั้งตัวจริงและซ่อนเร้น แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีได้กับได้ และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอมเสียตำแหน่งนี้ เพราะมีความคิดคล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทยชำนาญการมากในเรื่องลัทธิประชานิยม และกำลังประเด็นร้อนได้แก่ค่าแรงขั้นต่ำ ที่จะสร้างปัญหาโครงสร้างต้นทุนการผลิตอยู่ในขณะนี้
เรื่องใหญ่ที่หลายคนกลัว คือ การบริหารประเทศโดยทักษิณแบบใช้ Remote Control ในหลายเรื่อง และที่กลัวกันมากที่สุดคือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้างประโยชน์ให้กับทักษิณอย่างที่เคยเป็นมา แต่ครั้งใหม่นี้วิธีการและสาระจะเนียนกว่าในอดีตที่ผ่านมา
แม้นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์หลังจากวันเลือกตั้งได้ 2 – 3 วัน ว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว”
แต่ความเป็นจริงเป็นที่รู้กันว่าทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ว่า “ผมเป็นคนเขียนนโยบายพรรคเพื่อไทยเองกับมือ สมาชิกพรรคขอคำปรึกษามาเป็นระยะๆ ผมก็แจกแจงหัวข้อต่างๆ ให้ไปแล้ว”
ที่สำคัญเป็นเรื่อง ซ.ต.พ. เมื่อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยทั้งสองฉบับ ลงหน้าหนึ่งด้วยภาพทักษิณ ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้สำแดงอิทธิพลของตนในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเงา โดยเร่งรัดให้รัฐบาลใหม่สร้างนโยบายปรองดอง
ยุทธศาสตร์นี้สำคัญเพราะเป็นการสร้างปราการชั้นนอกให้เกิดภาพลวงตา ว่าชาติต้องปรองดอง และนี่น่าจะเป็นนโยบายจอมปลอมของทักษิณ และพูดถึงงานพระราชพิธีใหญ่เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 84 พรรษา
ทักษิณพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจ และความสำคัญในส่วนงานของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน โดยตำแหน่งเหล่านี้จะต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกันทักษิณชี้แจงว่ากฎหมายนิรโทษกรรมนั้นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน และบอกว่าเรื่องสำคัญคือไม่คิดบัญชีแค้นกับใครทั้งสิ้น แม้ว่าได้กลับเข้าประเทศอีกครั้งก็ตาม แต่เชื่อว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงในกองทัพอย่างแน่นอน
ทักษิณคิดว่าการกลับเข้าประเทศนั้นเป็นเรื่องความต้องการของประชาชน หากว่ากลับเข้ามาแล้วจะเป็นผลดีกับประเทศชาติ แต่ถ้าการกลับมาของเขาสร้างปัญหาก็จะไม่คิดกลับ ในประเด็นนี้ทำให้นึกถึงการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร ในช่วงเดือนสิงหาคม 2519 จนเป็นเหตุให้เกิดการจลาจล 6 ตุลาคม 2519
ทักษิณเป็นเงาเทพหรือเงาอสูรไม่มีใครทราบได้ ทักษิณคนเดียวที่รู้ แต่ถ้าจะเป็นเงาอสูรก็มีคนไทยที่รักความชอบธรรมเฝ้าดูอยู่ หรือถ้าเงื่อนไขซ่อนเร้นของทักษิณที่กดปุ่มบังคับน้องสาวตัวเองให้เดินตามเส้นทางที่เขาต้องการนั้นชัดเจนในเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง และเอาเงิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดไปด้วยคืนกลับ คนหลากหลายนับแสนตามจำนวน Vote No ก็คงออกมาต่อต้าน
เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่น่ากลัวที่สุด เพราะตามหลักนั้นทักษิณสูญเสียไปแล้ว และหากได้คืนมาเขาสามารถใช้เงินซื้ออำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ซื้อคนของรัฐโดยง่าย และสร้างฐานการเมืองระดับล่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อนั้นเองคนไทยก็จะเห็นเงาอสูรอย่างชัดเจน