ASTVผู้จัดการรายวัน - ศรีไทยฯลุ้นยอดขายครึ่งปีหลัง 3.5 พันล้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 6.7 พันล้านบาท ยอมรับการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาท/วันทำต้นทุนการผลิตพุ่งกว่า 10% แนะรัฐทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเวลา 3ปี หลังนักลงทุนญี่ปุ่นจ่อยกเลิการลงทุนในไทย หนีไปอินโดนีเซียและเวียดนามแทนไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดยอดขายในครึ่งปีหลังอยู่ที่ 3.5พันล้านบาท สูงกว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มียอดขาย 3.2 พันล้านบาท โตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% ทำให้ผลการดำเนินงานทั้งปี2554 บริษัทฯจะมียอดขายรวม 6.7 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
17%เป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ เนื่องจากบริษัทฯได้ทยอยปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์เมลามีนส่งออกเฉลี่ย 10%ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกก็ปรับตามต้นทุนที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นในปีนี้ มาจากการเติบโตของตลาดต่างประเทศผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนทำจากเมลามีน บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ Preform ฝาขวดน้ำดื่ม การเป่าขวด และกล่องบรรจุอาหารประเภทChilled Food และ Ready-to-eat รวมไปถึงธุรกิจขายตรงภายใต้แบรนด์SNatur
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า แผนการลงทุนในปีหน้า คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วัน โดยอาจจะต้องลดขนาดการลงทุนในไทยลงแล้วหันไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาท/วันในหลักการเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้นแต่การปรับขึ้นค่าแรงและเงินเดือนจะต้องทำควบคู่กับการพัฒนาแรงงานและการลดต้นทุนอื่นๆรวมทั้งส่งเสริมให้เอกชนหันมาผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นเพื่อแข่งขัน ยอมรับว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (SME)ของไทยอย่างมาก ซึ่งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30%เหลือ 23%ไม่ได้ช่วยเท่าไร และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีแผนจะย้ายฐานการผลิตจากจีนและญี่ปุ่นมาไทยจะหยุดชะงัก และอาจหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่าอย่างอินโดนีเซีย และเวียดนามแทน เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายค่าแรงของภาครัฐ ทั้งๆที่บรรยากาศการลงทุนในไทยเริ่มกลับมาดีขึ้น
“จากการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์และลูกค้าญี่ปุ่น คิดหนักจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่ ที่เดิมจะย้ายฐานการลงทุนมาไทย หลังจากรัฐบาลจีนมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 25%ทุกปีและ แรงงานจีนเริ่มขาด ก็อาจจะหันไปลงทุนในเวียดนามที่มีค่าแรงถูกกว่าไทย 60 % และอินโดนีเซียต่ำกว่าไทย 50% ”
ดังนั้น ตนเห็นว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วันควรเป็นการทยอยปรับ 3ปี เพื่อให้เอกชนมีความพร้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใหม่ตัดสินใจให้มีการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันในวันที่ 1ม.ค.55 จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทฯเพิ่มขึ้นกว่า 10% ทำให้การแข่งขันยากขึ้น
นอกจากนี้ ภาพรวมในครึ่งปีหลังมีปัจจัยที่น่ากังวล ได้แก่ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปีนี้มีโอกาสเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศในปีนี้ บริษัทได้ชะลอการลงทุนตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์เมลามีนในอินเดีย มูลค่าเงินลงทุน 250 ล้านบาท เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบเท่ากัน ทำให้ไม่เอื้อต่อการลงทุนตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีน ส่วนการขยายการลงทุนในเวียดนามมูลค่า 150 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจในเวียดนามอยู่ในช่วงขาลงและค่าเงินด่องอ่อนค่าลงทำให้บริษัทฯชะลอการลงทุนไปก่อน แต่เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจเวียดนามน่าจะฟื้นตัว ซึ่งบริษัทฯก็พร้อมลงทุนทันที
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 2558 มาเป็นเวลา 3ปีก่อนหน้านี้ โดยมีการลงทุนผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและ Preform ฝาขวดน้ำดื่มไปสู่ประเทศอื่นๆในอาเซียน รวมทั้งการรักษาความเป็นเจ้าตลาดในผลิตภัณฑ์เมลามีนด้วย โดยยอมรับภาคเอกชนไทยยังไม่ค่อยตื่นตัวการเปิดเสรีAEC ซึ่งภาครัฐควรกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
“ในปีหน้าบริษัทฯมองการลงทุนผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมทั้งคอสเมติก โดยเตรียมเจรจาลูกค้าอย่างยูนิลิเวอร์ และคอลเกต ปาล์มโอลิฟในไตรมาสนี้ “
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดยอดขายในครึ่งปีหลังอยู่ที่ 3.5พันล้านบาท สูงกว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มียอดขาย 3.2 พันล้านบาท โตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% ทำให้ผลการดำเนินงานทั้งปี2554 บริษัทฯจะมียอดขายรวม 6.7 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
17%เป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ เนื่องจากบริษัทฯได้ทยอยปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์เมลามีนส่งออกเฉลี่ย 10%ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกก็ปรับตามต้นทุนที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นในปีนี้ มาจากการเติบโตของตลาดต่างประเทศผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนทำจากเมลามีน บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ Preform ฝาขวดน้ำดื่ม การเป่าขวด และกล่องบรรจุอาหารประเภทChilled Food และ Ready-to-eat รวมไปถึงธุรกิจขายตรงภายใต้แบรนด์SNatur
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า แผนการลงทุนในปีหน้า คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วัน โดยอาจจะต้องลดขนาดการลงทุนในไทยลงแล้วหันไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาท/วันในหลักการเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้นแต่การปรับขึ้นค่าแรงและเงินเดือนจะต้องทำควบคู่กับการพัฒนาแรงงานและการลดต้นทุนอื่นๆรวมทั้งส่งเสริมให้เอกชนหันมาผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นเพื่อแข่งขัน ยอมรับว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (SME)ของไทยอย่างมาก ซึ่งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30%เหลือ 23%ไม่ได้ช่วยเท่าไร และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีแผนจะย้ายฐานการผลิตจากจีนและญี่ปุ่นมาไทยจะหยุดชะงัก และอาจหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่าอย่างอินโดนีเซีย และเวียดนามแทน เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายค่าแรงของภาครัฐ ทั้งๆที่บรรยากาศการลงทุนในไทยเริ่มกลับมาดีขึ้น
“จากการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์และลูกค้าญี่ปุ่น คิดหนักจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่ ที่เดิมจะย้ายฐานการลงทุนมาไทย หลังจากรัฐบาลจีนมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 25%ทุกปีและ แรงงานจีนเริ่มขาด ก็อาจจะหันไปลงทุนในเวียดนามที่มีค่าแรงถูกกว่าไทย 60 % และอินโดนีเซียต่ำกว่าไทย 50% ”
ดังนั้น ตนเห็นว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วันควรเป็นการทยอยปรับ 3ปี เพื่อให้เอกชนมีความพร้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใหม่ตัดสินใจให้มีการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันในวันที่ 1ม.ค.55 จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทฯเพิ่มขึ้นกว่า 10% ทำให้การแข่งขันยากขึ้น
นอกจากนี้ ภาพรวมในครึ่งปีหลังมีปัจจัยที่น่ากังวล ได้แก่ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปีนี้มีโอกาสเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศในปีนี้ บริษัทได้ชะลอการลงทุนตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์เมลามีนในอินเดีย มูลค่าเงินลงทุน 250 ล้านบาท เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบเท่ากัน ทำให้ไม่เอื้อต่อการลงทุนตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีน ส่วนการขยายการลงทุนในเวียดนามมูลค่า 150 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจในเวียดนามอยู่ในช่วงขาลงและค่าเงินด่องอ่อนค่าลงทำให้บริษัทฯชะลอการลงทุนไปก่อน แต่เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจเวียดนามน่าจะฟื้นตัว ซึ่งบริษัทฯก็พร้อมลงทุนทันที
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 2558 มาเป็นเวลา 3ปีก่อนหน้านี้ โดยมีการลงทุนผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและ Preform ฝาขวดน้ำดื่มไปสู่ประเทศอื่นๆในอาเซียน รวมทั้งการรักษาความเป็นเจ้าตลาดในผลิตภัณฑ์เมลามีนด้วย โดยยอมรับภาคเอกชนไทยยังไม่ค่อยตื่นตัวการเปิดเสรีAEC ซึ่งภาครัฐควรกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
“ในปีหน้าบริษัทฯมองการลงทุนผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมทั้งคอสเมติก โดยเตรียมเจรจาลูกค้าอย่างยูนิลิเวอร์ และคอลเกต ปาล์มโอลิฟในไตรมาสนี้ “