วานนี้(11 ก.ค.)นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ว่าที่ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ได้นำนายมาร์โค เจริญใจ ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 117 พรรคประชาธิปัตย์ และนายพงศ์สวัสดิ์ ศุภศิริ ผู้สมัครส.ส.จ.แพร่ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ มาแถลงข่าวก่อนที่จะยื่นเรื่อง ร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายมาร์โค กล่าวว่า ตนจะไปยื่นร้องเรียนต่อกกต. กรณีที่นายโกศล ปัทมะ ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัด นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง เป็นส.ส. เนื่องจากศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2553 ให้นายโกศล ปัทมะ เป็นผู้ล้มละลายตามพ.ร.บ.ล้มละลาย และเมื่อนายโกศลรู้ตัวว่าเป็นบุคคล้มละลาย จึงถือว่าขาดคุณสมบัติในการสมัครส.ส. รวมทั้งขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกภาพพรรคเพื่อไทย ตามข้อบังคับของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย ดังนั้น จึงอยากให้กกต.ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของนายโกศล โดยวันเดียวกันนี้ ตนจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกกต.
ด้านนายพงศ์สวัสดิ์ กล่าวว่า กกต.ได้มีมติที่ 45 และมติ 100 / 2550 ห้ามผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองช่วยพรรคการเมืองหรือผู้สมัครหาเสียง แต่ได้มีกรณีของนพ.ทศพร เสรีรักษ์ บ้านเลขที่ 111 ช่วยนางปานหทัย เสรีรักษ์ ผู้สมัครส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย หาเสียงที่ จ.แพร่เกือบทุกวัน โดยมีทั้งหมด 3 กรณีคือ ที่มีการจัดทำป้ายหาเสียง โดยมีรูปนพ.ทศพรถ่ายคู่กับนางปานหทัยคู่กัน กรณีช่วยผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงพบปะประชาชน บอกให้ประชาชนให้เลือกเบอร์ 1 ทั้งแบบเขต และบัญชีรายชื่อ และกรณีการขึ้นรถแห่หาเสียงตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งตนมีทั้งรูปภาพและภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐาน
“ผมเคยยื่นเรื่องกกต.จ.แพร่ไปเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 54 ก่อนการเลือกตั้งหลายวัน และทางกกต.สอบพยานผู้ร้องแล้ว ผมเห็นว่ากกต.ควรวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ และควรจะตัดสิทธิตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งด้วยซ้ำ แต่มาจนถึงวันนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยใดๆ จากกกต. ซึ่งในวันอังคารที่12 ก.ค. กกต.จะมีการรับรองผล จึงอยากให้กกต.อย่าเพิ่งรับรองผลจนกว่าจะมีการวินิจฉัยเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้สังคมไทย กรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้สมัครรู้เห็นเป็นใจกับผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง น่าจะมีผลทำให้ถูกใบแดง จึงอยากวิงวอนให้กกต.ช่วยวินิจฉัยกรณีดังกล่าวด้วย
**ปชป.ร้องสอบ“ตู่-เต้น-ก่อแก้ว-พิชิฏ”
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เนื่องจากเคยถูกคุมขังเมื่อปี 2551 ว่าจะขาดสมาชิกภาพของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะเคยถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย ดังนั้นหากไม่สมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยใหม่ ก็ถือว่าขาดสมาชิกภาพของพรรคไป เช่นเดียวกับกรณีของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
กรณีของนายพิชิฏ ชื่นบาน ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 53 ที่เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เพราะนายพิชิฏ เคยถูกศาลฎีกาจำคุก 6 เดือน ในคดีติดสินบนผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2551 ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ในระหว่างที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดรับสมัครผู้สมัครเป็นส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 19 -23 พ.ค. 54 ซึ่งการพ้นโทษของนายพิชิฏ นั้นจนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง ถือว่ายังไม่ครบ 5 ปี ดังนั้นถือว่าขาดคุณสมบัติของรับสมัครส.ส.
นายบุญยอด กล่าวต่อว่า ตนมีความตั้งใจที่จะมายื่นเรื่องร้องคัดค้านกับเจ้าหน้าที่กกต. ตั้งแต่วานนี้ (10 ก.ค.) แต่กลับพบว่าสำนักงานกกต. ปิดทำการ โดยในวันนี้ตนก็ได้สอบถามเหตุผลกับเจ้าหน้าที่กกต.ว่า ช่วงระยะเวลา 7 วันหลังจากการเลือกตั้ง ที่สามารถยื่นเรื่องร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง เหตุใดจึงไม่เปิดทำการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ อย่างไรก็ตาม ตนขอให้กกต. พิจารณาเรื่องร้องคัดค้านอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ก่อนที่จะประกาศผลรับรองการเลือกตั้ง
**ปชป.ยื่นกกต.ยุบ “เพื่อไทย”เพิ่ม
นายบุญยอด กล่าวว่า ได้ยื่นร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ต่อ กกต. โดยขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทยในพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้ง ประกอบไปด้วยกรณีการส่งอีเมล์ของนายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ส่งต่อไปยังนายพงศ์ศักดิ์ พรรคเพื่อไทย และสื่อมวลชน ฉบับต่างๆ ซึ่งจดหมายทั้ง 2 ฉบับ เข้าข่ายให้ผลตอบแทนสื่อมวลชน เพื่อแลกกับการนำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และ นายวิม ได้ออกมายอมรับว่าเป็นอีเมล์ของตัวเองจริง ดังนั้นจึงขอให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนายวิมเป็นถึงกรรมการบริหารพรรค และเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 108 ทั้งนี้ ตนเห็นว่า การให้ผลตอบแทนต่อสื่อมวลชนของนายวิม อาจจะถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย
**พท.โต้ “บุญยอด” ปัญญาอ่อน
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายบุณยอด ระบุว่าการให้สินบนสื่อเข้าข่ายการซื้อเสียงตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถทำได้ แต่ตนคิดว่าการดำเนินการดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตนเชื่อว่าคนที่จะดำเนินการแบบนายวิมนั้น คงจะต้องเป็นบุคคลที่เป็นคนปัญญาอ่อนเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่านายวิมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะชี้แจง เพราะพรรคเพื่อไทยเชื่อว่ามีความพยายามของคนบางกลุ่มที่ได้ขโมยรหัสลับในการเข้าสู่อีเมล และทำการตกแต่งเพิ่มเติม โดยภายหลังจากนี้ทางทีมกฎหมายก็จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับบุคคลดังกล่าวต่อไป
**พี่น้อง“ฉายแสง”อ้างหลักฐานเด็ดซื้อเสียง
น.ส.ฐิติมา และนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย รวมกันแถลงข่าวว่า วันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา มีประชาชนแจ้งกับพวกตน ว่า พบการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในเขต 1 และเขต 4 ของจ.ฉะเชิงเทรา เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการซื้อเสียงอย่างมโหฬารอย่างไม่เคยเจอมาก่อน จนมีประชาชน ไปแจ้งยังกกต.จังหวัดและสถานีตำรวจ เป็นจำนวนมากว่า ได้รับเงินจากผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ไปลงคะแนน และตามกฎหมายหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน ผู้ใดรับเงินในการลงคะแนน ถ้าไปแจ้งต่อกกต.และแจ้งความ จะถือว่าไม่มีความผิด จึงมีประชาชนมาร้องเรียนจำนวนมาก
น.ส.ฐิติมา กล่าวต่อว่า จากกรณีดังกล่าว ตนจึงได้ยื่นเรื่องต่อกกต.เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา และในวันนี้ตนจะไปยื่นเรื่องเพิ่มเติมต่อกกต. ซึ่งหลักฐานชุดนี้เด็ดมาก เพราะถึงตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคการเมืองหนึ่ง มีเสียงผู้สมัครพูดไว้อย่างชัดเจน หากกกต.ฟังและได้ดูเอกสารที่แนบไว้ จะเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติมาก ดังนั้น ต้องมีการสืบสวนสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพราะซีดีมีการยอมรับจากผู้สมัครจากบางพรรคการเมือง
นางฐิติมากล่าวว่า น่าสังเกตว่า นายบุญเลิศ ไพรินทร์ ว่าที่ ส.ส. ฉะเชิงเทรา พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อการเลือกตั้งปี 50 จาก 5 เขต ได้รับคะแนนเพียง 3 พันกว่าคะแนน และตนได้ 6 หมื่นกว่าคะแนน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ได้มา 4 หมื่นกว่าคะแนน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจากการสอบถามประชาชนในพื้นที่ ทราบว่า นายบุญเลิศ ไม่เคยลง เหมือนกับตนที่ลงพื้นที่ตลอด อย่างไรก็ตาม แม้จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ก็จะขอต่อสู้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และตนมั่นใจว่าหลักฐานที่นำมาอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง
ด้านนายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า เราได้ข้อมูลมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ต้องนำรูปมาดูให้แน่ชัด และแกะคำพูดออกมาให้แน่ชัด ก่อนยื่นได้ในวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้ง มีประชาชนร้องคัดค้านกกต.จำนวนมาก แต่ไม่รู้จะไปแจ้งได้อย่างไร เพราะมีการใช้อิทธิพลข่มขู่ แต่วันนี้หลังจากที่ได้รับจะนำหลักฐานไปให้กกต.ใหญ่ เนื่องจากมีหลักฐานครบ และมีการกระทำผิด พร้อมทั้งมีการใช้หน่วยงานของรัฐช่วยเหลือการเลือกตั้ง
** ส.ส.สอบตกร้องค้านเลือกตั้ง
นายสิงห์ทอง บัวชุม ผู้สมัคร สส.เขต 8 ลาดพร้าว-วังทองหลาง พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของเขต 8 ลาดพร้าว-วังทองหลาง พร้อมกับขอให้มีการนับคะแนนใหม่ โดยนายสิงห์ทอง กล่าวว่า เนื่องจากการนับคะแนนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีความผิดพลาดและสับสนเกิดขึ้นหลายครั้ง โดยผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ที่พรรคเพื่อไทยส่งมา ได้ระบุและทำหนังสือทักท้วง เนื่องจากในการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งที่ 73 กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ได้มีการนับคะแนนสลับหีบบัตรเลือกตั้งกัน โดยนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ แต่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งกลับไปกากบาทในระบบแบ่งเขต เช่นเดียวกัน การนับคะแนนแบบแบ่งเขต แต่กลับไปกาช่องคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งตลอดเวลาที่มีการนับคะแนนผู้สังเกตการณ์ของพรรค ก็ได้ประท้วงตลอดเวลา แต่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งก็ไม่ได้สนใจและยังนับคะแนนต่อไป ทั้งนี้ จึงขอให้ กกต. ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม
**“หาญส์”จี้ถามค้าน เขตบางกะปิ
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ กกต.กทม. นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.กทม. เขต 15 พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อพล.ต.ต.สุเทพ รมยานนท์ ประธานกกต.กทม. เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส. เขต 15 กทม. โดยนายภักดีหาญส์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานกกต.กทม.เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.54 เรื่องการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 53(5) และมาตรา 137ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. ซึ่งทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 15 และเขตเลือกตั้งอื่นๆไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทั้งขณะนี้ได้มีการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมากไปแล้ว
ทั้งนี้ เบื้องต้นสามารถจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้และให้การสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างให้แจกซีดีที่มีเนื้อหาโจมตีจากสำนักงานศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งส.ส.เขต 15 บางกะปิ ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยกระบวนการสืบสวนสอบสวนและระยะเวลาในการดำเนินการได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ตนจึงทำหนังสือเพื่อขอติดตามทวงถามความคืบหน้าเรื่องการคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.ก่อนที่จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 12 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตามจากการสอบถามกกต.กทม.ทราบว่ากกต.กทม.ได้รับเรื่องและส่งเรื่องให้สน.หัวหมาก เพื่อให้มีการดำเนินการออกหมายจับบุคลที่สามที่ได้มีการว่าจ้างให้มีการแจกซีดีโจมตีดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้เมื่อมีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งก็จะเป็นผลให้กกต.ยังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 15 ได้
** ปชป.กาญจน์ ขอนับคะแนนใหม่
นายอัฎฐพลษ์ โพธิพิพิธ ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 พร้อมด้วย นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลำดับที่ 34 พร้อมด้วยกลุ่มผู้สนับสนุน ได้เข้าพบ กกต.กาญจนบุรี เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมร้องให้มีการนับคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขต 1ใหม่
ทั้งนี้ ทุกหน่วยเลือกตั้งของเขต 1 ที่มีทั้งหมด 190 หน่วย มีจำนวนบัตรเสียมากกว่า 4,500 ใบ และผลคะแนนที่ชนะการเลือกตั้งนั้นห่างกันไม่มาก ตนคิดว่าเป็นการกาช่องคะแนนผิดพลาดของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เช่นเอาคะแนนเบอร์ 10 ไปลงให้เบอร์ 9 หรือเบอร์ 9 ไปลงให้เบอร์ 2 ซึ่งนอกจากนั้นยังพบว่ายังมีอีกหลายหน่วยเลือกตั้งที่ใส่คะแนนผิดเช่นนับคะแนนของผู้สมัครบัญชีรายชื่อไปกาลงในช่องผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยสิ่งเหล่านี้ทำให้ตนในฐานะเป็นผู้สมัครต้องเสียผลประโยชน์หรือเกิดความเสียหายในเรื่องของคะแนนที่หายไป เนื่องจากคะแนนของตนมากกว่าคะแนนบัญชีรายชื่อ ตนเห็นว่าการทำงานวันที่ 3 ก.ค.มีข้อผิดพลาดหลายอย่าง ดังนั้นจึงยื่นเรื่องให้กกต.นับคะแนนใหม่อีกครั้ง
นาย ประภาส ฉัตรมงคล ผอ.กกต.ประจำจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า หลังจากมีการยื่นเรื่องเข้ามายัง กกต.จังหวัด ได้มอบหมายให้ฝ่ายสืบสวนของ กกต.ตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อส่งเรื่องไปยัง กกต.กลางพิจารณา และตัดสินเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
**"เติ้ง"วอนกกต.เลิกยุบพรรค
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะรับรอง ส.ส.รอบแรกในวันที่ 12ก.ค.ว่า เมื่อบ้านเมืองมาถึงตรงจุดนี้ที่ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน เรื่องยุบพรรค ยุบสภาตนไม่ชอบเลย บอกตรงๆ เพราะมันเหนื่อย แต่เมื่อยุบสภาไปแล้วเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องฟังเสียงประชาชน หากพรรคไหนมาเป็นที่ 1 ก็ให้เขาจัดตั้งรัฐบาล และให้ไปตลอดรอดฝั่งด้วย และเมื่อคะแนนมาเกือบ 300 ที่นั่งก็ไม่น่าเป็นปัญหา กกต.อาจประกาศไปส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือส่วนที่มีการร้องเรียน อย่างไรก็ตาม การประกาศผลรับรองวันนี้ คงประกาศให้สามารถเปิดสภาได้ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะว่างเว้นซึ่งมันไม่ดี
“เรื่องยุบพรรค ผมบนบานศาลกล่าวเลยว่าอย่าให้ยุบพรรคง่ายๆ เลย อย่ามีเลย เพราะพรรคการเมืองกว่าจะเกิดขึ้นมาได้เลือดตาแทบกระเด็น ต้องใช้เวลาการพัฒนาพรรคให้มันเข้มแข็ง ดูอย่างพรรคชาติไทยที่ตั้งมา 36 ปี เสร็จแล้วก็มาถูกยุบแบบนี้ ดังนั้น อย่ายุบพรรคกันเลย ยุบคนดีกว่า ขอร้องล่ะ ผู้ที่มีอำนาจอย่าทำการยุบพรรคเลย” นายบรรหารกล่าวว่า
ด้านนายพงศ์สวัสดิ์ กล่าวว่า กกต.ได้มีมติที่ 45 และมติ 100 / 2550 ห้ามผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองช่วยพรรคการเมืองหรือผู้สมัครหาเสียง แต่ได้มีกรณีของนพ.ทศพร เสรีรักษ์ บ้านเลขที่ 111 ช่วยนางปานหทัย เสรีรักษ์ ผู้สมัครส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย หาเสียงที่ จ.แพร่เกือบทุกวัน โดยมีทั้งหมด 3 กรณีคือ ที่มีการจัดทำป้ายหาเสียง โดยมีรูปนพ.ทศพรถ่ายคู่กับนางปานหทัยคู่กัน กรณีช่วยผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงพบปะประชาชน บอกให้ประชาชนให้เลือกเบอร์ 1 ทั้งแบบเขต และบัญชีรายชื่อ และกรณีการขึ้นรถแห่หาเสียงตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งตนมีทั้งรูปภาพและภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐาน
“ผมเคยยื่นเรื่องกกต.จ.แพร่ไปเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 54 ก่อนการเลือกตั้งหลายวัน และทางกกต.สอบพยานผู้ร้องแล้ว ผมเห็นว่ากกต.ควรวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ และควรจะตัดสิทธิตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งด้วยซ้ำ แต่มาจนถึงวันนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยใดๆ จากกกต. ซึ่งในวันอังคารที่12 ก.ค. กกต.จะมีการรับรองผล จึงอยากให้กกต.อย่าเพิ่งรับรองผลจนกว่าจะมีการวินิจฉัยเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้สังคมไทย กรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้สมัครรู้เห็นเป็นใจกับผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง น่าจะมีผลทำให้ถูกใบแดง จึงอยากวิงวอนให้กกต.ช่วยวินิจฉัยกรณีดังกล่าวด้วย
**ปชป.ร้องสอบ“ตู่-เต้น-ก่อแก้ว-พิชิฏ”
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณีของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เนื่องจากเคยถูกคุมขังเมื่อปี 2551 ว่าจะขาดสมาชิกภาพของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะเคยถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย ดังนั้นหากไม่สมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยใหม่ ก็ถือว่าขาดสมาชิกภาพของพรรคไป เช่นเดียวกับกรณีของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
กรณีของนายพิชิฏ ชื่นบาน ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 53 ที่เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เพราะนายพิชิฏ เคยถูกศาลฎีกาจำคุก 6 เดือน ในคดีติดสินบนผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2551 ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ในระหว่างที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดรับสมัครผู้สมัครเป็นส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 19 -23 พ.ค. 54 ซึ่งการพ้นโทษของนายพิชิฏ นั้นจนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง ถือว่ายังไม่ครบ 5 ปี ดังนั้นถือว่าขาดคุณสมบัติของรับสมัครส.ส.
นายบุญยอด กล่าวต่อว่า ตนมีความตั้งใจที่จะมายื่นเรื่องร้องคัดค้านกับเจ้าหน้าที่กกต. ตั้งแต่วานนี้ (10 ก.ค.) แต่กลับพบว่าสำนักงานกกต. ปิดทำการ โดยในวันนี้ตนก็ได้สอบถามเหตุผลกับเจ้าหน้าที่กกต.ว่า ช่วงระยะเวลา 7 วันหลังจากการเลือกตั้ง ที่สามารถยื่นเรื่องร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง เหตุใดจึงไม่เปิดทำการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ อย่างไรก็ตาม ตนขอให้กกต. พิจารณาเรื่องร้องคัดค้านอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ก่อนที่จะประกาศผลรับรองการเลือกตั้ง
**ปชป.ยื่นกกต.ยุบ “เพื่อไทย”เพิ่ม
นายบุญยอด กล่าวว่า ได้ยื่นร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ต่อ กกต. โดยขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทยในพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้ง ประกอบไปด้วยกรณีการส่งอีเมล์ของนายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ส่งต่อไปยังนายพงศ์ศักดิ์ พรรคเพื่อไทย และสื่อมวลชน ฉบับต่างๆ ซึ่งจดหมายทั้ง 2 ฉบับ เข้าข่ายให้ผลตอบแทนสื่อมวลชน เพื่อแลกกับการนำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และ นายวิม ได้ออกมายอมรับว่าเป็นอีเมล์ของตัวเองจริง ดังนั้นจึงขอให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนายวิมเป็นถึงกรรมการบริหารพรรค และเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 108 ทั้งนี้ ตนเห็นว่า การให้ผลตอบแทนต่อสื่อมวลชนของนายวิม อาจจะถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย
**พท.โต้ “บุญยอด” ปัญญาอ่อน
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายบุณยอด ระบุว่าการให้สินบนสื่อเข้าข่ายการซื้อเสียงตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถทำได้ แต่ตนคิดว่าการดำเนินการดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตนเชื่อว่าคนที่จะดำเนินการแบบนายวิมนั้น คงจะต้องเป็นบุคคลที่เป็นคนปัญญาอ่อนเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่านายวิมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะชี้แจง เพราะพรรคเพื่อไทยเชื่อว่ามีความพยายามของคนบางกลุ่มที่ได้ขโมยรหัสลับในการเข้าสู่อีเมล และทำการตกแต่งเพิ่มเติม โดยภายหลังจากนี้ทางทีมกฎหมายก็จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับบุคคลดังกล่าวต่อไป
**พี่น้อง“ฉายแสง”อ้างหลักฐานเด็ดซื้อเสียง
น.ส.ฐิติมา และนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย รวมกันแถลงข่าวว่า วันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา มีประชาชนแจ้งกับพวกตน ว่า พบการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในเขต 1 และเขต 4 ของจ.ฉะเชิงเทรา เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการซื้อเสียงอย่างมโหฬารอย่างไม่เคยเจอมาก่อน จนมีประชาชน ไปแจ้งยังกกต.จังหวัดและสถานีตำรวจ เป็นจำนวนมากว่า ได้รับเงินจากผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ไปลงคะแนน และตามกฎหมายหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน ผู้ใดรับเงินในการลงคะแนน ถ้าไปแจ้งต่อกกต.และแจ้งความ จะถือว่าไม่มีความผิด จึงมีประชาชนมาร้องเรียนจำนวนมาก
น.ส.ฐิติมา กล่าวต่อว่า จากกรณีดังกล่าว ตนจึงได้ยื่นเรื่องต่อกกต.เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา และในวันนี้ตนจะไปยื่นเรื่องเพิ่มเติมต่อกกต. ซึ่งหลักฐานชุดนี้เด็ดมาก เพราะถึงตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคการเมืองหนึ่ง มีเสียงผู้สมัครพูดไว้อย่างชัดเจน หากกกต.ฟังและได้ดูเอกสารที่แนบไว้ จะเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติมาก ดังนั้น ต้องมีการสืบสวนสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพราะซีดีมีการยอมรับจากผู้สมัครจากบางพรรคการเมือง
นางฐิติมากล่าวว่า น่าสังเกตว่า นายบุญเลิศ ไพรินทร์ ว่าที่ ส.ส. ฉะเชิงเทรา พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อการเลือกตั้งปี 50 จาก 5 เขต ได้รับคะแนนเพียง 3 พันกว่าคะแนน และตนได้ 6 หมื่นกว่าคะแนน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ได้มา 4 หมื่นกว่าคะแนน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจากการสอบถามประชาชนในพื้นที่ ทราบว่า นายบุญเลิศ ไม่เคยลง เหมือนกับตนที่ลงพื้นที่ตลอด อย่างไรก็ตาม แม้จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ก็จะขอต่อสู้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และตนมั่นใจว่าหลักฐานที่นำมาอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง
ด้านนายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า เราได้ข้อมูลมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ต้องนำรูปมาดูให้แน่ชัด และแกะคำพูดออกมาให้แน่ชัด ก่อนยื่นได้ในวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้ง มีประชาชนร้องคัดค้านกกต.จำนวนมาก แต่ไม่รู้จะไปแจ้งได้อย่างไร เพราะมีการใช้อิทธิพลข่มขู่ แต่วันนี้หลังจากที่ได้รับจะนำหลักฐานไปให้กกต.ใหญ่ เนื่องจากมีหลักฐานครบ และมีการกระทำผิด พร้อมทั้งมีการใช้หน่วยงานของรัฐช่วยเหลือการเลือกตั้ง
** ส.ส.สอบตกร้องค้านเลือกตั้ง
นายสิงห์ทอง บัวชุม ผู้สมัคร สส.เขต 8 ลาดพร้าว-วังทองหลาง พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของเขต 8 ลาดพร้าว-วังทองหลาง พร้อมกับขอให้มีการนับคะแนนใหม่ โดยนายสิงห์ทอง กล่าวว่า เนื่องจากการนับคะแนนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีความผิดพลาดและสับสนเกิดขึ้นหลายครั้ง โดยผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ที่พรรคเพื่อไทยส่งมา ได้ระบุและทำหนังสือทักท้วง เนื่องจากในการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งที่ 73 กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ได้มีการนับคะแนนสลับหีบบัตรเลือกตั้งกัน โดยนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ แต่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งกลับไปกากบาทในระบบแบ่งเขต เช่นเดียวกัน การนับคะแนนแบบแบ่งเขต แต่กลับไปกาช่องคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งตลอดเวลาที่มีการนับคะแนนผู้สังเกตการณ์ของพรรค ก็ได้ประท้วงตลอดเวลา แต่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งก็ไม่ได้สนใจและยังนับคะแนนต่อไป ทั้งนี้ จึงขอให้ กกต. ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม
**“หาญส์”จี้ถามค้าน เขตบางกะปิ
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ กกต.กทม. นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.กทม. เขต 15 พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อพล.ต.ต.สุเทพ รมยานนท์ ประธานกกต.กทม. เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส. เขต 15 กทม. โดยนายภักดีหาญส์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานกกต.กทม.เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.54 เรื่องการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 53(5) และมาตรา 137ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. ซึ่งทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 15 และเขตเลือกตั้งอื่นๆไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทั้งขณะนี้ได้มีการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมากไปแล้ว
ทั้งนี้ เบื้องต้นสามารถจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้และให้การสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างให้แจกซีดีที่มีเนื้อหาโจมตีจากสำนักงานศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งส.ส.เขต 15 บางกะปิ ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยกระบวนการสืบสวนสอบสวนและระยะเวลาในการดำเนินการได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ตนจึงทำหนังสือเพื่อขอติดตามทวงถามความคืบหน้าเรื่องการคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.ก่อนที่จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 12 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตามจากการสอบถามกกต.กทม.ทราบว่ากกต.กทม.ได้รับเรื่องและส่งเรื่องให้สน.หัวหมาก เพื่อให้มีการดำเนินการออกหมายจับบุคลที่สามที่ได้มีการว่าจ้างให้มีการแจกซีดีโจมตีดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้เมื่อมีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งก็จะเป็นผลให้กกต.ยังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 15 ได้
** ปชป.กาญจน์ ขอนับคะแนนใหม่
นายอัฎฐพลษ์ โพธิพิพิธ ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 พร้อมด้วย นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลำดับที่ 34 พร้อมด้วยกลุ่มผู้สนับสนุน ได้เข้าพบ กกต.กาญจนบุรี เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมร้องให้มีการนับคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขต 1ใหม่
ทั้งนี้ ทุกหน่วยเลือกตั้งของเขต 1 ที่มีทั้งหมด 190 หน่วย มีจำนวนบัตรเสียมากกว่า 4,500 ใบ และผลคะแนนที่ชนะการเลือกตั้งนั้นห่างกันไม่มาก ตนคิดว่าเป็นการกาช่องคะแนนผิดพลาดของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เช่นเอาคะแนนเบอร์ 10 ไปลงให้เบอร์ 9 หรือเบอร์ 9 ไปลงให้เบอร์ 2 ซึ่งนอกจากนั้นยังพบว่ายังมีอีกหลายหน่วยเลือกตั้งที่ใส่คะแนนผิดเช่นนับคะแนนของผู้สมัครบัญชีรายชื่อไปกาลงในช่องผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยสิ่งเหล่านี้ทำให้ตนในฐานะเป็นผู้สมัครต้องเสียผลประโยชน์หรือเกิดความเสียหายในเรื่องของคะแนนที่หายไป เนื่องจากคะแนนของตนมากกว่าคะแนนบัญชีรายชื่อ ตนเห็นว่าการทำงานวันที่ 3 ก.ค.มีข้อผิดพลาดหลายอย่าง ดังนั้นจึงยื่นเรื่องให้กกต.นับคะแนนใหม่อีกครั้ง
นาย ประภาส ฉัตรมงคล ผอ.กกต.ประจำจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า หลังจากมีการยื่นเรื่องเข้ามายัง กกต.จังหวัด ได้มอบหมายให้ฝ่ายสืบสวนของ กกต.ตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อส่งเรื่องไปยัง กกต.กลางพิจารณา และตัดสินเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
**"เติ้ง"วอนกกต.เลิกยุบพรรค
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะรับรอง ส.ส.รอบแรกในวันที่ 12ก.ค.ว่า เมื่อบ้านเมืองมาถึงตรงจุดนี้ที่ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน เรื่องยุบพรรค ยุบสภาตนไม่ชอบเลย บอกตรงๆ เพราะมันเหนื่อย แต่เมื่อยุบสภาไปแล้วเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องฟังเสียงประชาชน หากพรรคไหนมาเป็นที่ 1 ก็ให้เขาจัดตั้งรัฐบาล และให้ไปตลอดรอดฝั่งด้วย และเมื่อคะแนนมาเกือบ 300 ที่นั่งก็ไม่น่าเป็นปัญหา กกต.อาจประกาศไปส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือส่วนที่มีการร้องเรียน อย่างไรก็ตาม การประกาศผลรับรองวันนี้ คงประกาศให้สามารถเปิดสภาได้ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะว่างเว้นซึ่งมันไม่ดี
“เรื่องยุบพรรค ผมบนบานศาลกล่าวเลยว่าอย่าให้ยุบพรรคง่ายๆ เลย อย่ามีเลย เพราะพรรคการเมืองกว่าจะเกิดขึ้นมาได้เลือดตาแทบกระเด็น ต้องใช้เวลาการพัฒนาพรรคให้มันเข้มแข็ง ดูอย่างพรรคชาติไทยที่ตั้งมา 36 ปี เสร็จแล้วก็มาถูกยุบแบบนี้ ดังนั้น อย่ายุบพรรคกันเลย ยุบคนดีกว่า ขอร้องล่ะ ผู้ที่มีอำนาจอย่าทำการยุบพรรคเลย” นายบรรหารกล่าวว่า