“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ไพร่ในอดีตในคำที่เรียกบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นขุนนาง มีหน้าที่ใช้แรงงานให้กับมูลนายที่ตนเองสังกัด ไพร่มีสองประเภทหลักคือไพร่สมซึ่งใช้แรงงานให้กับขุนนาง และไพร่หลวงซึ่งรับใช้ราชสำนัก แต่หากไพร่คนใดไม่ประสงค์ใช้แรงงานก็ใช้เป็นเงินแทนซึ่งเรียกว่าไพร่ส่วย
สำหรับสังคมปัจจุบัน ความหมายของคำว่าไพร่ เป็นคำบริภาษคนในลักษณะที่ดูถูกเหยียดหยาม โดยเฉพาะผู้ที่มีกิริยามารยาทหยาบคายหรือประพฤติตนไม่เหมาะสม โดยปกติคำว่าไพร่มีการใช้กันในบทละครมากกว่าใช้ในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนทั่วไป
ต่อมาในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อต้นปี 2553 แกนนำของการชุมนุมได้หยิบว่าว่า “ไพร่” มาใช้เพื่อระบุความเป็นตัวตนของพวกเขา และมีนัยว่าเป็นกลุ่มที่เป็นปรปักษ์กับอีกกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตย์”
กลุ่มเสื้อแดงจึงกลายเป็นกลุ่มไพร่แดง ที่ทำการสู้รบเพื่อโค่นล้มกลุ่มอำมาตย์ โดยมีหัวหน้าไพร่อยู่ต่างประเทศ แกนนำสำคัญของกลุ่มไพร่แดงบางคนอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร บางส่วนเป็นนักการเมือง บางส่วนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย บางส่วนเป็นนักเลงอันธพาลหรือกลุ่มมาเฟียท้องถิ่น บางส่วนเป็นนักพัฒนาเอกชน บางส่วนเป็นนายทุน และบางส่วนเป็นสื่อมวลชน
ลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มไพร่แดงก็ย่อมต้องใช้วิธีการแบบไพร่ นั่นคือ การกระทำการตามสัญชาตญาณดิบแบบดั้งเดิม ที่ถูกควบคุมโดยสมองส่วนหลัง อันเป็นสมองในส่วนที่เป็นแหล่งกำเนิดตัณหาและความต้องการ การกระทำตามสัญชาตญาณดิบเป็นการกระทำตามแบบธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ในยุคที่ยังไม่มีการก่อตัวเป็นสังคมอารยะ ดังนั้นหากพวกเขาต้องการได้สิ่งใด ก็จะใช้วิธีการทุกอย่างเท่าที่สมองจะนึกคิดได้ และแน่นอนว่าการใช้ความรุนแรงและการโกหกบิดเบือนหลอกลวงเป็นทางเลือกแรกๆ ที่พวกเขานิยมใช้
แกนนำไพร่แดงใช้การปราศรัยปลุกเร้า ปลูกฝังและตอกย้ำการใช้ความรุนแรงแก่มวลชนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานนับปี และการปลุกเร้าขึ้นสู่จุดสูงสุดในการชุมนุมเดือนเมษายนถึงพฤาภาคม 2553 มวลชนไพร่แดงที่ร่วมการชุมนุมจึงได้ยินถ้อยคำและคำสั่งจากแกนนำบ่อยครั้งในลักษณะที่ว่า “เผามันเลยพี่น้อง” หรือ “เอาขวดมาให้ได้ 1 ล้านใบ เติมน้ำมันเอาข้างหน้า รับรองกรุงเทพฯเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน” เป็นต้น
ภายใจ้การปลุกเร้าและการสะกดจิตหมู่ มวลชนไพร่แดงจึงมีความฮึกเหิมและออกปฏิบัติการปั่นบ้านป่วนเมืองแทบทุกวันตลอดระยะเวลาของการชุมนุม ทั้งการละเมิดสิทธิของประชาชนโดยตั้งด่านเถื่อนในการตรวจค้นผู้คนที่ผ่านมาผ่านไป การบุกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ การบุกสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง และการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
และเพื่อให้เกิดบรรยากาศของการละเลงเลือดยิ่งขึ้น แกนนำไพร่แดงจึงวางแผนการสร้างสถานการณ์โดยใช้กองกำลังไพร่แดงในชุดดำปฏิบัติการสังหารผู้คนอย่างไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะเป็นมวลชนไพร่แดงที่ไร้เดียงสาซึ่งร่วมในการชุมนุม หรือประชาชนทั่วไปในกรุงเทพมหานครที่บังเอิญผ่านมาผ่านไปบริเวณการชุมนุม หรือแม้กระทั่งทหารที่ปราศจากอาวุธผู้ซึ่งได้รับคำสั่งมาควบคุมการชุมนุมเมื่อต้นเดือนเมษายน และท้ายที่สุดมวลชนไพร่ทั้งหลายจึงจุดไฟเผาเมือง กรุงเทพฯ และหัวเมืองในต่างจังหวัดหลายแห่งก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปในเดือนพฤษภาคม 2553
เมื่อมวลชนไพร่แดงใช้ความรุนแรงทำลายล้างบ้านเมือง กลุ่มผู้รักษาความสงบก็ได้เข้าไปปราบปรามและจับกุม แกนนำไพร่หลายคนจึงถูกตั้งข้อหาเป็น ผู้ก่อการร้าย หลายคนหนีออกจากประเทศเร่ร่อนไปเรื่อยๆ บางคนอาศัยอภิสิทธิ์ของความเป็น ส.ส. ทำให้ไม่ต้องถูกจับกุมคุมขัง แต่หลายคนถูกฝากขังเอาไว้เพื่อจะได้สงบสติอารมณ์ และควบคุมสมองส่วนหลัง อันอาจทำให้สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นสมองที่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึกความรับผิดชอบชั่วดีได้รับการพัฒนาขึ้นมาบ้าง
เวลาผ่านไปไม่นานแกนนำไพร่บางส่วนก็ได้รับการประกันตัว ออกมาใช้ชีวิตในสังคม ไพร่บางคนใช้ชีวิตอย่างหรูหรา พาครอบครัวไปรับประทานอาหารในภัตตาคารราคาแพง แถวถนนสุขุมวิท จนเป็นข่าวดังไปทั่วเมือง ขณะที่มวลชนไพร่แดงจำนวนมากซึ่งเผาเมืองตามคำสั่งของแกนนำกลับติดอยู่ในคุกต่อไปอย่างขาดผู้สนใจใยดี
เมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภา ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง บรรดาแกนนำไพร่แดงก็เข้าร่วมรวมกลุ่มเข้าไปยู่ในพรรคเพื่อไพร่แดง หัวหน้าพรรคเพื่อไพร่แดงผู้อยู่ในต่างประเทศมีปกาศิตลงมาว่าให้น้องสาวตนเองเป็นผู้สมัครเบอร์หนึ่งของพรรค และแกนนำไพร่แดงหลายคนก็ได้รับการบรรจุรายชื่อลงในผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆของพรรค
พรรคเพื่อไพร่แดงดำเนินการหาเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยมอย่างเข้มข้น การสร้างบทละครก่อรูปภาพลักษณ์ และการใช้ความรุนแรง ภายใต้นโยบายประชานิยมมีข้อเสนอที่เย้ายวนใจแก่มวลชนจำนวนมากทั้งในเรื่องการขึ้นค่าแรง การขึ้นเงินเดือน การพักหนี้ การประกันราคาพืชผลการเกษตร การสร้างโครงการขนาดใหญ่
การหาเสียงแบบสร้างบทละคร มีการสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอก โดยการติดสินบนสื่อมวลชนเพื่อให้ตัวเอกปรากฎโฉมในหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทุกวัน จนผู้คนติดตามกันอย่างงอมแงม เห็นเธอผู้นั้นประดุจนางฟ้าลงมาโปรด
อีกด้านหนึ่งก็มีข่าวการลอบสังหารหัวคะแนนของพรรคการเมืองคู่แข่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการทำลายป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่ของตนเอง ก็ปรากฏให้เห็นอย่างกลาดเกลื่อนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
นโยบายและวิธีคิดในการหาเสียงเหล่านั้นจึงเป็นการคิดโดยใช้สมองส่วนหลัง เช่นเดียวกันกับที่พวกเขาเคยใช้ในการชุมนุมทางการเมือง นั่นคือการกระตุ้นสัญชาตญาณดิบ แต่เปลี่ยนจากอารมณ์แห่งความเกลียดชังโกรธแค้น มาเป็นอารมณ์แห่งความโลภในทรัพย์สินเงินทอง และความหลงในรูปลักษณ์ขึ้นมาเพื่อใช้อารมณ์เหล่านี้สะกดจิตรวมหมู่ต่อมวลชนไพร่แดง
การสะกดจิตหมู่ดำเนินไปเป็นเวลานานนับเดือนภายใต้การกระพือโหมของสื่อมวลชนไพร่แดง จนครอบงำจิตของผู้คนทั้งที่เป็นมวลชนไพร่แดง และประชาชนธรรมดาจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยเป็นไพร่แดงมาก่อนก็ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดนี้เช่นเดียวกัน
การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จึงปรากฏผลออกมาว่าพรรคเพื่อไพร่แดงได้รับชัยชนะเหนือพรรคคู่แข่งอย่างท่วมท้น ได้จำนวน ส.ส. เกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร บรรดาไพร่แดงต่างยินดีอย่างเหลือล้น ตะโกนร้องกู่ก้องด้วยความหฤหรรษ์ ราวกับเป็นวันที่กวีไพร่แดงบางคนเคยรจนาไว้ว่า “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ไพร่แดงจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
นอกจากมวลชนไพร่แดงจะยินดีแล้ว บุคคลที่ดีใจอย่างออกหน้าออกตาคือ ฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชา เพราะพวกเขาคิดว่ารัฐบาลไพร่แดงในอนาคต คงหยิบยื่นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณปราสาทเขาพระวิหารซึ่งเป็นของประเทศไทย ให้กับประเทศกัมพูชาอย่างแน่นอน และดูเหมือนแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้นเพราะหัวหน้าพรรคเพื่อไพร่แดงเคยเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลฮุนเซน มีผลประโยชน์ในกัมพูชาอย่างมหาศาล อีกทั้งแกนนำไพร่แดงหลายคนก็อาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา
ทันทีที่พรรคเพื่อไพร่แดงชนะการเลือกตั้ง บรรดามวลชนไพร่แดงก็แสดงออกถึงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินมาให้สังคมเห็นทันที บางกลุ่มก็จัดขบวนรถขับไปที่พรรคคู่แข่งชูป้ายเย้ยหยันอย่างเอิกเริก บางกลุ่มก็ประกาศจะลากคอกลุ่มคนที่ทำให้ไพร่แดงเสียชีวิตดำเนินคดี บางกลุ่มก็จะให้ปล่อยผู้ก่อการร้ายแดงที่ถูกจับกุม บางกลุ่มก็ประการศว่าจะต้องมีแกนนำไพร่แดงเป็นรัฐมนตรี บางกลุ่มก็ประกาศว่าให้ปลดอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และบางกลุ่มก็ประกาศว่าจะให้รัฐบาลไพร่แดงยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112
ตำนานอีกบทหนึ่งของไพร่แดงกำลังเริ่มต้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมดำเนินการตามความฝันและเจตจำนงค์ของพวกเขาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยให้เป็นระบอบการปกครองแบบไพร่แดง อันมีหัวหน้าไพร่แดงเป็นประมุขประเทศ
แกนนำไพร่แดงหาใช่ผู้ที่โง่เขลา มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิสามารถใช้การสะกดจิตรวมหมู่ครอบงำมวลชนไพร่แดงได้อย่างยืนยาวมาหลายปี ในช่วงเริ่มต้นพวกเขาอาจไม่ใช้สัญชาตญาณดิบของตนเองเป็นตัวตั้งอันจะนำไปสู่การแตกหักกับฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กับพวกเขา แต่พวกเขาจะใช้วิธีการแบบอำพลางซ่อนเร้น แยกกันแสดงบทบาท โดยรัฐบาลไพร่แดงจะใช้บทบาทประนีประนอม ใช้วาทกรรมปรองดองเป็นหลัก ขณะเดียวกันมวลชนไพร่แดงก็จะแสดงบทบาทการเรียกร้องกดดันรัฐบาลที่เป็นพวกเดียวกันนั่นแหละให้ปฏิบัติตามเจตนารมหรือความต้องการณ์ของมวลชนไพร่แดง
รัฐบาลไพร่แดงก็ในระยะแรกๆก็อาจอิดออนอิดเอื้อนพอเป็นพิธีว่า ตนเองแยกจากมวลชนไพร่แดง แต่เมื่อเวลาผ่านไปรัฐบาลไพร่แดงก็จะเริ่มค่อยๆตอบสนองความต้องการของมวลชนไพร่แดง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชน
และหากมีกลุ่มคนที่โจมตีรัฐบาล แกนนำไพร่แดงก็จะใช้มวลชนกดดันฝ่ายตรงข้าม ใช้สื่อในมือบิดเบือนข้อมูล ใช้ทุนและกระบวนการยุติธรรมฟ้องร้อง ใช้อำนาจเถื่อนมาเฟียในการทำร้ายและลอบสังหาร และอาจใช้อำนาจรัฐในการปราบปราม
ตำนานไพร่แดงอีกบทหนึ่งกำลังเริ่มต้น เป็นบทที่ได้รับการปลุกและคืนชีพขึ้นมาจากความไม่เอาไหนของรัฐบาลแมลงสาปเป็นหลัก ตำนานนี้จะมีจุดจบอย่างไร อีกไม่นานคงจะเห็นกัน