ASTVผู้จัดการรายวัน - ลูกสาว“พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น”เข้าให้ปากคำตำรวจคดี“หมอมุก”โดยปิดบังใบหน้า หนีสื่อ ให้การตำรวจยืนยันพ่อตนเองเป็นคนชนหมอมุก ขณะที่ พฐ.เก็บดีเอ็นเอ ตรวจลายนิ้วมือไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือบนกระจกรถยนต์ของหมอมุก
วานนี้(4 ก.ค.)เวลา 10.30 น. ที่ สน.พญาไท น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยนายทหารพระธรรมนูญ 2 นาย เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.สุดประเสริฐ หลัดกอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก.สส.สน.พญาไท เพื่อให้ปากคำในคดีของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา (หรือหมอมุก) แพทย์ประจำคลินิคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รอง ผบก.น.1 ร่วมทำการสอบปากคำ ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ได้เดินทางมาในชุดลำลอง กางเกงยีนส์ขายาว สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีเทา ใส่หมวกปีกขนาดใหญ่และแว่นสีดำ อีกทั้งยังใส่ผ้าปิดจมูกเพื่ออำพรางใบหน้า มีการตัดผมซอยสั้น ก่อนเข้าให้ปากคำต่อตำรวจด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด และพยายามหลบผู้สื่อข่าว โดยไม่ยอมลงไปสอบปากคำที่ชั้นล่าง แต่ขอขึ้นมาให้ปากคำในห้องพนักงานสอบสวนชั้น 4 เพราะเป็นห้องที่ปิดมิดชิด นอกจากนี้ยังมีชาย 2 คนยืนบังอยู่ด้านหลังของ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ
ต่อมา พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ลูกสาวของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยานเกี่ยวกับคดีของ พ.ต.พญ.หทัยพร หรือหมอมุก โดยลูกสาว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุเดินทางไปกับใครบ้าง นั่งอยู่ตรงไหนในรถ และทำอะไรบ้างในวันดังกล่าว แต่รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากอยู่ในสำนวน
นอกจากนี้ ยังให้การว่า พ่อของตัวเองเป็นคนขับรถ ซึ่งให้การตรงกันกับ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนี้หากการสอบปากคำเสร็จสิ้น และผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จาก พฐ.ออกมาแล้ว จะมีการแจ้งข้อหาได้ทันที เพราะหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอแล้วที่จะแจ้งข้อหา แต่จะแจ้งเป็นข้อหาอะไรและแจ้งกับใครนั้นไม่สามารถบอกได้ แต่ทั้งนี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ได้พูดไปชัดเจนแล้ว ทุกคนน่าจะรู้กันดี ส่วนการสรุปสำนวนจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อสอบปากคำหมอมุกเสร็จสิ้นแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้เดินทางมาทำการตรวจดีเอ็นเอของ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอในรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท ยังได้พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อให้ พฐ.นำไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือบนกระจกรถยนต์ของหมอมุก
ต่อมาเวลา 16.00 น. น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ได้เดินทางออกจากห้องสอบสวน โดยมีกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบเกือบ 10 นายให้ความคุ้มกัน เพื่อไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปถ่ายภาพได้ โดย น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน ก่อนที่จะขึ้นรถตู้สีขาวของ บก.สส. ทะเบียน ฮค 6944 และรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 10 นายที่คุ้มกัน น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ในครั้งนี้ยิ่งกว่าการคุ้มกันผู้ต้องหา แต่ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยานเท่านั้น ซึ่งเป็นลูกของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ด้วย.
วานนี้(4 ก.ค.)เวลา 10.30 น. ที่ สน.พญาไท น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยนายทหารพระธรรมนูญ 2 นาย เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.สุดประเสริฐ หลัดกอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก.สส.สน.พญาไท เพื่อให้ปากคำในคดีของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา (หรือหมอมุก) แพทย์ประจำคลินิคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รอง ผบก.น.1 ร่วมทำการสอบปากคำ ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ได้เดินทางมาในชุดลำลอง กางเกงยีนส์ขายาว สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีเทา ใส่หมวกปีกขนาดใหญ่และแว่นสีดำ อีกทั้งยังใส่ผ้าปิดจมูกเพื่ออำพรางใบหน้า มีการตัดผมซอยสั้น ก่อนเข้าให้ปากคำต่อตำรวจด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด และพยายามหลบผู้สื่อข่าว โดยไม่ยอมลงไปสอบปากคำที่ชั้นล่าง แต่ขอขึ้นมาให้ปากคำในห้องพนักงานสอบสวนชั้น 4 เพราะเป็นห้องที่ปิดมิดชิด นอกจากนี้ยังมีชาย 2 คนยืนบังอยู่ด้านหลังของ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ
ต่อมา พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ลูกสาวของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยานเกี่ยวกับคดีของ พ.ต.พญ.หทัยพร หรือหมอมุก โดยลูกสาว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุเดินทางไปกับใครบ้าง นั่งอยู่ตรงไหนในรถ และทำอะไรบ้างในวันดังกล่าว แต่รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากอยู่ในสำนวน
นอกจากนี้ ยังให้การว่า พ่อของตัวเองเป็นคนขับรถ ซึ่งให้การตรงกันกับ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนี้หากการสอบปากคำเสร็จสิ้น และผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จาก พฐ.ออกมาแล้ว จะมีการแจ้งข้อหาได้ทันที เพราะหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอแล้วที่จะแจ้งข้อหา แต่จะแจ้งเป็นข้อหาอะไรและแจ้งกับใครนั้นไม่สามารถบอกได้ แต่ทั้งนี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ได้พูดไปชัดเจนแล้ว ทุกคนน่าจะรู้กันดี ส่วนการสรุปสำนวนจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อสอบปากคำหมอมุกเสร็จสิ้นแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้เดินทางมาทำการตรวจดีเอ็นเอของ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอในรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท ยังได้พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อให้ พฐ.นำไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือบนกระจกรถยนต์ของหมอมุก
ต่อมาเวลา 16.00 น. น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ได้เดินทางออกจากห้องสอบสวน โดยมีกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบเกือบ 10 นายให้ความคุ้มกัน เพื่อไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปถ่ายภาพได้ โดย น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน ก่อนที่จะขึ้นรถตู้สีขาวของ บก.สส. ทะเบียน ฮค 6944 และรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 10 นายที่คุ้มกัน น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ในครั้งนี้ยิ่งกว่าการคุ้มกันผู้ต้องหา แต่ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยานเท่านั้น ซึ่งเป็นลูกของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ด้วย.