ในที่สุด ประชาชน 12-13 ล้านคน ได้ตัดสินใจเลือก “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย ให้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย และให้ชาวบ้านอีก 50 กว่าล้านคนยอมรับผล
แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะยังใช้เวลารับรอง ส.ส.เป็นทางการ มาถึงจุดนี้น่าจะบอกได้ว่า “น้องปู” ได้เป็นนายกฯ 99.99 เปอร์เซ็นต์
เหลือ 00.01 เปอร์เซ็นต์สำหรับสิ่งที่คาดไม่ถึง ดูแล้วคงจะยาก!
โลกได้มีนายกฯ หรือผู้นำประเทศหญิง 60 กว่าคน แต่ “น้องปู” ได้ทุบสถิติรายอื่นๆ ด้านความรวดเร็วในความสำเร็จทางการเมือง ทำเอาบรรดากูรู นักประวัติศาสตร์มองด้วยความอัศจรรย์ว่าการเมืองไทยมีทางลัดสั้นที่สุด
“น้องปู” มีประสบการณ์ทางการเมืองเพียง 40 กว่าวัน ไม่เต็ม 2 เดือน! ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องพิสูจน์ผลงาน ไม่ไต่บันได เหยียบบ่า ข้ามศพใคร
ลึกๆ ในใจ “น้องปู” อาจไม่อยากเป็นนายกฯ! แต่เพราะด้วยความจำเป็นของครอบครัว สายเลือด เป็นโคลนนิ่งของพี่ชาย และคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้
ความโดดเด่นอย่างเดียวที่ช่วยให้เธอได้อยู่บนเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯ คือความเป็นน้องสาวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่งยังหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี ถือสัญชาติมอนเตเนโกร หนังสือเดินทางนิการากัว และชาติอื่นๆ
โทษจำคุกไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เป็นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริต! แต่นั่นแหละ สังคมการเมืองน้ำเน่าเมืองไทย กฎเกณฑ์ กติกาในสังคมอื่นๆ นำมาใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะด้านทัศนคติค่านิยมซ่อนลึกในใจคน
นั่นคือการยอมรับว่า “นักการเมืองโกงกินบ้างไม่เป็นไร ขอให้มีผลงานก็แล้วกัน” เป็นความหวังว่าขอให้กินน้อยๆ! ที่ผ่านมาพฤติกรรมกินหนัก คำโต จนถึงขั้นเขมือบจาก “โคตรโกง” ไปสู่ “โกงทั้งโคตร” ไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอย
ค่านิยมเช่นนี้อยู่บนพื้นฐานของการยอมรับความร่ำรวย โดยไม่ใส่ใจตรวจสอบ พิจารณาว่าความมั่งคั่งมาจากการฉ้อโกง อาชญากรรม ประพฤติผิดศีลธรรม ปล้นทรัพย์สินงบประมาณของแผ่นดิน เงินภาษีชาวบ้านหรือไม่
ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยส่วนหนึ่งไม่ยึดถือหลักการของคุณงามความดี แยกแยะความผิดถูกชั่วร้ายเลวทราม ศีลธรรม คุณธรรม แต่มุ่งเน้นถึงการให้ได้มาซึ่งเงิน เลือกผู้แทนแบบฉาบฉวย หลงใหล
หลายคนไม่คิดมาก เลือกผู้แทนเพราะเคยเลือกคนมีนามสกุลเดียวกันมา เป็นเครือข่ายทายาท สรุปง่ายๆ ว่าเมื่อเคยเลือกพ่อ หรือแม่มาก่อน จะเลือกลูกหลานหรือญาติใกล้ชิด ไม่เป็นปัญหา ถ้าให้เงินเท่าเดิม หรือมากกว่า
การเลือกก็ไม่แยแสประเด็นที่ว่าเมื่อต้นตระกูลดี หรือเลว ไม่จำเป็นที่คนสืบสายพันธุ์ต่อมานั้นดี ชั่ว มีพฤติกรรมผ่าเหล่าอย่างไรหรือไม่ และเงินมักเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ตามการกำกับชี้แนะโดยหัวคะแนน
เมื่อเป็นสังคมธนบัตราธิปไตย ใช้เงินเป็นใหญ่กำหนดผลการเลือกตั้ง จะหวังให้ไทยพัฒนาระบบเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยในฝัน คงเป็นฝันค้างสลับฝันร้าย ติดหล่มจมปลักในการเมืองน้ำเน่า มีแต่คนหน้าด้าน ไร้จิตสำนึกต่อไป
พรรคเพื่อเหลี่ยมร้ายชนะการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความนิยม การเบื่อคนหน้าเดิม อยากลองของใหม่ และปัจจัยอื่นๆ! ที่สำคัญคือความล้มเหลวขององค์กร หน่วยงานต่างๆ ในการทำหน้าที่ควบคุมกฎ! แต่ไม่ทำ
องค์กรเหล่านี้มองว่า ถ้าทำหน้าที่ตัวเองอย่างเคร่งครัด เท่ากับสร้างศัตรูกับกลุ่มผู้เข้ามากุมอำนาจโดยการใช้เงิน อิทธิพลในรูปแบบต่างๆ ยิ่งถ้ามีการทุจริตในการเลือกตั้งมากมาย สอบสวนจับกุมได้มาก ก็ไม่ถือว่าเป็นผลงาน
แต่จะถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวในการสร้างเครือข่ายป้องกันการซื้อเสียงหรือทุจริตในลักษณะต่างๆ! มีคดีมาก แสดงว่าไม่รัดกุม ทำให้งานยุ่ง ซับซ้อน ถ้ามีหลักฐานแต่พิสูจน์ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน เท่ากับล้มเหลวซ้ำสอง
สู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า หรือปกป้องตัวเองด้วยข้ออ้างว่า “ไม่มีใครมาร้องเรียน” หรือ “สอบสวนแล้ว ไม่มีหลักฐาน” เป็นเพียงการใส่ความ บัตรสนเท่ห์
องค์กรเหล่านี้เป็นส่วนฐานของกระบวนการยุติธรรม ระบบนิติรัฐ การรักษากฎหมายบ้านเมือง ถ้าล้มเหลว ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด ย่อมทำให้สังคมขาดคุณธรรม ไร้ที่พึ่ง ไม่มีกลไกลงโทษผู้กระทำความผิด สร้างความเป็นธรรม
เมื่อประเทศไทยจะได้นายกฯ หญิง ใหม่ในวงการเมืองจนกลิ่นโชย ต้องให้เวลา “น้องปู” พิสูจน์ตัวเองในด้านความรู้ ความสามารถ ความเป็นผู้นำ แม้จะเป็นโคลนนิ่ง นอมินี หุ่นเชิด คนในพรรค นอกพรรครับรู้สภาพนี้ก็ตาม
ใช้เวลาพิสูจน์ไม่นาน เพียงตอบคำถามผู้สื่อข่าววันแรกเริ่มเห็นลายแล้วว่าจะไปได้อย่างไร! นายกฯ หนุ่มหล่อระดับโพเดียมเลี่ยมทอง จะต้องพ้นจากตำแหน่ง เราจะมีนายกฯ สาว ซึ่งคงไม่ชอบโพเดียมตอบคำถามเจื้อยแจ้ว
เราเคยเห็นแต่ “คนแกล้งโง่” และทำสำเร็จ! แต่การ “แกล้งทำเป็นฉลาด” นั้น ท้าทายมากกว่า แม้จะทำสำเร็จสักครั้งสองครั้ง อาจเป็นได้!
แต่การแกล้งทำเป็นฉลาดตลอดไปได้นั้น แสดงว่าคนอื่นโง่กว่าแบบถาวร หรือ “แกล้งโง่” หวังย้อนรอยตลบหลังหลอกเรา เท่านั้นนิ! อิอิอิ!!!
แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะยังใช้เวลารับรอง ส.ส.เป็นทางการ มาถึงจุดนี้น่าจะบอกได้ว่า “น้องปู” ได้เป็นนายกฯ 99.99 เปอร์เซ็นต์
เหลือ 00.01 เปอร์เซ็นต์สำหรับสิ่งที่คาดไม่ถึง ดูแล้วคงจะยาก!
โลกได้มีนายกฯ หรือผู้นำประเทศหญิง 60 กว่าคน แต่ “น้องปู” ได้ทุบสถิติรายอื่นๆ ด้านความรวดเร็วในความสำเร็จทางการเมือง ทำเอาบรรดากูรู นักประวัติศาสตร์มองด้วยความอัศจรรย์ว่าการเมืองไทยมีทางลัดสั้นที่สุด
“น้องปู” มีประสบการณ์ทางการเมืองเพียง 40 กว่าวัน ไม่เต็ม 2 เดือน! ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องพิสูจน์ผลงาน ไม่ไต่บันได เหยียบบ่า ข้ามศพใคร
ลึกๆ ในใจ “น้องปู” อาจไม่อยากเป็นนายกฯ! แต่เพราะด้วยความจำเป็นของครอบครัว สายเลือด เป็นโคลนนิ่งของพี่ชาย และคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้
ความโดดเด่นอย่างเดียวที่ช่วยให้เธอได้อยู่บนเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯ คือความเป็นน้องสาวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่งยังหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี ถือสัญชาติมอนเตเนโกร หนังสือเดินทางนิการากัว และชาติอื่นๆ
โทษจำคุกไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา เป็นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริต! แต่นั่นแหละ สังคมการเมืองน้ำเน่าเมืองไทย กฎเกณฑ์ กติกาในสังคมอื่นๆ นำมาใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะด้านทัศนคติค่านิยมซ่อนลึกในใจคน
นั่นคือการยอมรับว่า “นักการเมืองโกงกินบ้างไม่เป็นไร ขอให้มีผลงานก็แล้วกัน” เป็นความหวังว่าขอให้กินน้อยๆ! ที่ผ่านมาพฤติกรรมกินหนัก คำโต จนถึงขั้นเขมือบจาก “โคตรโกง” ไปสู่ “โกงทั้งโคตร” ไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอย
ค่านิยมเช่นนี้อยู่บนพื้นฐานของการยอมรับความร่ำรวย โดยไม่ใส่ใจตรวจสอบ พิจารณาว่าความมั่งคั่งมาจากการฉ้อโกง อาชญากรรม ประพฤติผิดศีลธรรม ปล้นทรัพย์สินงบประมาณของแผ่นดิน เงินภาษีชาวบ้านหรือไม่
ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยส่วนหนึ่งไม่ยึดถือหลักการของคุณงามความดี แยกแยะความผิดถูกชั่วร้ายเลวทราม ศีลธรรม คุณธรรม แต่มุ่งเน้นถึงการให้ได้มาซึ่งเงิน เลือกผู้แทนแบบฉาบฉวย หลงใหล
หลายคนไม่คิดมาก เลือกผู้แทนเพราะเคยเลือกคนมีนามสกุลเดียวกันมา เป็นเครือข่ายทายาท สรุปง่ายๆ ว่าเมื่อเคยเลือกพ่อ หรือแม่มาก่อน จะเลือกลูกหลานหรือญาติใกล้ชิด ไม่เป็นปัญหา ถ้าให้เงินเท่าเดิม หรือมากกว่า
การเลือกก็ไม่แยแสประเด็นที่ว่าเมื่อต้นตระกูลดี หรือเลว ไม่จำเป็นที่คนสืบสายพันธุ์ต่อมานั้นดี ชั่ว มีพฤติกรรมผ่าเหล่าอย่างไรหรือไม่ และเงินมักเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ตามการกำกับชี้แนะโดยหัวคะแนน
เมื่อเป็นสังคมธนบัตราธิปไตย ใช้เงินเป็นใหญ่กำหนดผลการเลือกตั้ง จะหวังให้ไทยพัฒนาระบบเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยในฝัน คงเป็นฝันค้างสลับฝันร้าย ติดหล่มจมปลักในการเมืองน้ำเน่า มีแต่คนหน้าด้าน ไร้จิตสำนึกต่อไป
พรรคเพื่อเหลี่ยมร้ายชนะการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความนิยม การเบื่อคนหน้าเดิม อยากลองของใหม่ และปัจจัยอื่นๆ! ที่สำคัญคือความล้มเหลวขององค์กร หน่วยงานต่างๆ ในการทำหน้าที่ควบคุมกฎ! แต่ไม่ทำ
องค์กรเหล่านี้มองว่า ถ้าทำหน้าที่ตัวเองอย่างเคร่งครัด เท่ากับสร้างศัตรูกับกลุ่มผู้เข้ามากุมอำนาจโดยการใช้เงิน อิทธิพลในรูปแบบต่างๆ ยิ่งถ้ามีการทุจริตในการเลือกตั้งมากมาย สอบสวนจับกุมได้มาก ก็ไม่ถือว่าเป็นผลงาน
แต่จะถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวในการสร้างเครือข่ายป้องกันการซื้อเสียงหรือทุจริตในลักษณะต่างๆ! มีคดีมาก แสดงว่าไม่รัดกุม ทำให้งานยุ่ง ซับซ้อน ถ้ามีหลักฐานแต่พิสูจน์ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน เท่ากับล้มเหลวซ้ำสอง
สู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า หรือปกป้องตัวเองด้วยข้ออ้างว่า “ไม่มีใครมาร้องเรียน” หรือ “สอบสวนแล้ว ไม่มีหลักฐาน” เป็นเพียงการใส่ความ บัตรสนเท่ห์
องค์กรเหล่านี้เป็นส่วนฐานของกระบวนการยุติธรรม ระบบนิติรัฐ การรักษากฎหมายบ้านเมือง ถ้าล้มเหลว ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด ย่อมทำให้สังคมขาดคุณธรรม ไร้ที่พึ่ง ไม่มีกลไกลงโทษผู้กระทำความผิด สร้างความเป็นธรรม
เมื่อประเทศไทยจะได้นายกฯ หญิง ใหม่ในวงการเมืองจนกลิ่นโชย ต้องให้เวลา “น้องปู” พิสูจน์ตัวเองในด้านความรู้ ความสามารถ ความเป็นผู้นำ แม้จะเป็นโคลนนิ่ง นอมินี หุ่นเชิด คนในพรรค นอกพรรครับรู้สภาพนี้ก็ตาม
ใช้เวลาพิสูจน์ไม่นาน เพียงตอบคำถามผู้สื่อข่าววันแรกเริ่มเห็นลายแล้วว่าจะไปได้อย่างไร! นายกฯ หนุ่มหล่อระดับโพเดียมเลี่ยมทอง จะต้องพ้นจากตำแหน่ง เราจะมีนายกฯ สาว ซึ่งคงไม่ชอบโพเดียมตอบคำถามเจื้อยแจ้ว
เราเคยเห็นแต่ “คนแกล้งโง่” และทำสำเร็จ! แต่การ “แกล้งทำเป็นฉลาด” นั้น ท้าทายมากกว่า แม้จะทำสำเร็จสักครั้งสองครั้ง อาจเป็นได้!
แต่การแกล้งทำเป็นฉลาดตลอดไปได้นั้น แสดงว่าคนอื่นโง่กว่าแบบถาวร หรือ “แกล้งโง่” หวังย้อนรอยตลบหลังหลอกเรา เท่านั้นนิ! อิอิอิ!!!