xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นค้าปลีก-รับเหมาพุ่งรับประชานิยม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยเดือนมิถุนายน ต่างชาติขายสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์มองกรกฎาคม หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล การลงทุนขนาดใหญ่ และนโยบายประชานิยมจะยังคงดำเนินต่อไป ส่งอานิสงส์ต่อหุ้นกลุ่มการบริโภค อาทิ CPALL, MAKRO, BIGC, ITD, STEC, Materials เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการประกันราคาสินค้า นโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบท การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล พร้อมคงดัชนีสิ้นปีที่ 1,139 จุด

ตลาดหุ้นไทย วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (30มิ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ ระดับ 1,041.48 จุด การเปลี่ยนแปลงของดัชนีในรอบ 3 เดือนอยู่ที่ 0.83% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 8,512,876.08 ล้านบาท ด้านการลงทุนแยกตามประเภท พบว่า ในเดือนมิถุนายน นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทย 26,898.95 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 2,394.62 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 7,822.79 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่ 1 มกราคมจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสม 14,676.89 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ขายสุทธิสะสม 4,947.65 ล้านบาท

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินถึงภาพของการลงทุนภายหลังการเลือกตั้งว่า ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล การลงทุนขนาดใหญ่ และนโยบายประชานิยมจะยังคงดำเนินต่อไป ด้วยเหตุนี้กลุ่มการบริโภค อาทิ CPALL, MAKRO, BIGC, ITD, STEC, Materials เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการประกันราคาสินค้า นโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบท รวมไปถึงนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาหลังการเลือกตั้งที่จะกำหนดสถานการณ์ต่อไปในอนาคตได้ คือ จำนวนเสียงที่ได้มาเป็นอันดับ 1 นั้นจะมากเพียงใด โดยจากการประเมินแบ่งความน่าจะเป็นออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่ถึง 50% ต้องอาศัยพรรคร่วม กรณีที่ 2 คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% ไม่มาก ต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่ง และกรณีสุดท้าย คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% และอาจมากถึง 70% ซึ่งถือเป็นความเป็นไปได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย

ทั้งนี้ หากประเมินจากโพล 4 สำนักใหญ่ และคนจำนวนไม่น้อย คาดการณ์ผลการเลือกตั้งว่าเพื่อไทยจะได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในกรณีที่ชนะไม่ถึง 50% และขาดเหลืออีกไม่มาก 10-20 เสียง จำเป็นต้องดึงพักร่วมมาเสริมรัฐบาลนั้น ความเสี่ยงของเพื่อไทยจะเผชิญกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับการพลิกสถานการณ์ของประชาธิปัตย์ เมื่อ ธ.ค. 51 อาจจะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ดี การประท้วงจากกลุ่มคนสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณเองไม่น่าจะอยู่เฉย ความวุ่นวายต่างๆน่าจะตามมาแม้ไม่มาก แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์หากจัดตั้งมาในรูปแบบนี้ไม่น่าจะมีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งหากเป็นรูปแบบนี้คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นที่ได้ขายออกไปราว 4.5 หมื่นล้านบาทกลับ เพราะจะเป็นไปตามมุมมองส่วนใหญ่ของสำนักวิจัยเหล่านั้น ในช่วง ก.พ. ที่มีต่อเสถียรภาพอันแข็งแกร่งของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่จัดตั้งกับพรรคร่วม ตลอดถึงผู้ให้การสนับสนุนอื่นๆซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่นิยมอดีตนายกฯทักษิณในปี 49 ทำให้คาดว่า SET แกว่งตัว 1000-1050 จุด

ขณะที่ในกรณีชนะคะแนน เกิน 50% ไม่มาก จำเป็นต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่งเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งไม่รวมประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย แต่อาจมี ส.ส.ภูมิใจไทยบางส่วนที่ขอเข้าร่วมด้วย 10-15 คน ในกรณีนี้ต้องดูว่าในท้ายที่สุดแล้วเมื่อผ่านใบแดง ใบเหลืองแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลจะมีคะแนนเหลืออยู่ที่เท่าใด ถ้ายังเกิน 50%-60% จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในวาระที่ 2 อันได้แก่ 1.คดี SC ของนางสาวยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หากเป็นไปตามสถานการณ์นี้ ต่างชาติจะมองความเสี่ยงการเมืองไทยและยังคงลดพอร์ตต่อเนื่อง หรือหยุดรอดูสถานการณ์จนกว่าภาพทุกอย่างจะชัดเจน คาด SET แกว่งตัว 950-1050 จุด

สำหรับกรณีสุดท้ายที่มองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อย คือ ชนะคะแนนเกิน 50% และอาจมากถึง 70% กรณีนี้น่าจะสร้างความเสี่ยงให้กับเพื่อไทยน้อยสุดในแง่ของความชอบธรรมจากมหาชน ขณะที่กลุ่มผู้ไม่นิยมคุณทักษิณอาจต้องปล่อยให้ไปตามกระแสในช่วงต้น เหตุการณ์กรณีคดี SC ของคุณยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แม้มีโอกาสเกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้เลือกตั้งขึ้นมา ดังนั้น คาดจุดที่จะทำให้รัฐบาลเพื่อไทยสั่นคลอนได้ คือ การที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจนำประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมคุณทักษิณมาพิจารณาซึ่งจะเข้ากลับสโลแกนของประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้คือ “ไม่ล้างผิดให้คนเพียงคนเดียว” คาด SET แกว่งตัว 1000-1100 จุด

ดังนั้น สรุปได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลจะเกิดขึ้นในกรณีใดก็ตาม นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนนักลงทุนในประเทศยังคงมองเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงอาจมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่มีการชะลอตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็กยังเชื่อว่าจะเป็นการชะลอตัวในช่วงสั้น โดยยังคงดัชนีสิ้นปี 2554 ไว้ที่ 1,139 จุด แต่อาจจะมีการปรับตัวลดลงตามเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจมีผลต่อดัชนีที่อาจจะลดลงไปถึง 950 จุดได้ในไตรมาส 3

ด้านนางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศสิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ และการยังไม่ได้มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าจีนจะเลิกมาตรการรัดเข็มขัด และเศรษฐกิจจีนก็คงยังไม่สามารถฟื้นในทันทีทันใดได้ จึงเชื่อว่า Commodity Play จะยังคง Laggard โดยรวมเมื่อเทียบกับ Domestic Play จนกว่า "รถยนต์ และจีน ฟื้นจริง"

ส่วนDomestic Play หากจะเลือกลงทุนในหุ้นทันทีหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ยังคงให้เลือกกลุ่มค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ อาหาร ไฟฟ้า-สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล รับเหมาก่อสร้าง เป็นหลัก โดยมีเหตุสนับสนุนจาก ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศของไทยดีขึ้นโดยลำดับ ความวิตกทางการเมืองถึงขั้นมีปฏิวัติ เชื่อว่าโอกาสน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย และหลังมีรัฐบาลใหม่ คงมีแนวคิดในการบริหารประโยชน์โดยใช้นโยบายประชานิยมในทันที เงินสะพัด เศรษฐกิจเดินหน้า จังหวะการลงทุน คือเข้าซื้อทันทีหลังผลเลือกตั้งชัดเจน

สำหรับ Commodity Play การเข้าซื้อเร็ว และผิดจังหวะอาจจะเปล่าประโยชน์ ระยะเวลาที่ดีน่าจะอยู่ราวกลางไตรมาส 3/54 โดยเชื่อว่าจุดวกกลับของ Commodity ที่จะเห็นกลับมาดีเป็นขาขึ้นได้คาดว่าเกิดขึ้นจาก 1.อุตสาหกรรมรถยนต์มีการฟื้นตัวชัดเจน หรือผงกหัวขึ้น (บางประเทศ เช่นญี่ปุ่นจะเห็นการฟื้นในช่วง พ.ค.- มิ.ย.นี้แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน) 2.จีน: ที่วิตกและกลัวกันอย่างมากเรื่องมาตรการรัดเข็มขัด สิ่งที่ต้องรอดูต่อไปคือ เงินเฟ้อ จีน สหรัฐฯ สูงมากช่วง พ.ค. ที่ 5.5% และ 3.6% YoY อัตราที่ประกาศเหล่านี้ อาจพีคไปแล้ว ถ้ามีสัญญาณคอนเฟิร์มว่าพีคไปแล้ว จากนี้ไปจะอ่อนตัวลง และคลายกังวลได้ ตอนนั้น ต้องเริ่มลงมือซื้อหุ้น แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่เห็นแล้วคือ ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมา จาก Manipulate ของ IEA ในการขายน้ำมันสำรองทางยุทธ์ศาสตร์ออกมา ซึ่งส่วนนี้ เป็นส่วนของสหรัฐฯ 50% ยุโรป 30% และอื่น ๆ อีก 20% งานนี้สหรัฐฯ และยุโรปรับเงินไปมีหน้าตักพอสมควร นำไปใช้หนี้ก็จะตัวเบาขึ้น อีกทั้งทำให้เงินเฟ้อผ่อนคลาย คาดการณ์ไปก่อนได้เลยว่าจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้ออ่อนตัวลง ช่วงเวลานั้น ใครเข้าข่ายเป็นคอมมอดิตี้ รีบรายงานตัว หุ้นจะขึ้นแล้ว ที่เข้าข่ายจะได้แก่ ยานยนต์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เหล็ก สินค้าเกษตร เรือ

ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง แนะนำ อิง Domestic Play ไว้ก่อนในช่วงแรก หากสัญญาณต่างประเทศมาเมื่อไร การขึ้นรอบใหม่จะสดใสด้วย Commodity
กำลังโหลดความคิดเห็น