หุ้นไทยเดือนมิถุนายน ต่างชาติขายสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์มองกรกฎาคม หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล การลงทุนขนาดใหญ่ และนโยบายประชานิยมจะยังคงดำเนินต่อไป ส่งอานิสงส์ต่อหุ้นกลุ่มการบริโภค อาทิ CPALL, MAKRO, BIGC, ITD, STEC, Materials เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการประกันราคาสินค้า นโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบท การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล พร้อมคงดัชนีสิ้นปีที่ 1,139 จุด
ตลาดหุ้นไทย วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (30มิ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ ระดับ 1,041.48 จุด การเปลี่ยนแปลงของดัชนีในรอบ 3 เดือนอยู่ที่ 0.83% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 8,512,876.08 ล้านบาท ด้านการลงทุนแยกตามประเภท พบว่า ในเดือนมิถุนายน นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทย 26,898.95 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 2,394.62 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 7,822.79 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่ 1 มกราคมจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสม 14,676.89 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ขายสุทธิสะสม 4,947.65 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินถึงภาพของการลงทุนภายหลังการเลือกตั้งว่า ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล การลงทุนขนาดใหญ่ และนโยบายประชานิยมจะยังคงดำเนินต่อไป ด้วยเหตุนี้กลุ่มการบริโภค อาทิ CPALL, MAKRO, BIGC, ITD, STEC, Materials เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการประกันราคาสินค้า นโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบท รวมไปถึงนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาหลังการเลือกตั้งที่จะกำหนดสถานการณ์ต่อไปในอนาคตได้ คือ จำนวนเสียงที่ได้มาเป็นอันดับ 1 นั้นจะมากเพียงใด โดยจากการประเมินแบ่งความน่าจะเป็นออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่ถึง 50% ต้องอาศัยพรรคร่วม กรณีที่ 2 คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% ไม่มาก ต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่ง และกรณีสุดท้าย คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% และอาจมากถึง 70% ซึ่งถือเป็นความเป็นไปได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย
ทั้งนี้ หากประเมินจากโพล 4 สำนักใหญ่ และคนจำนวนไม่น้อย คาดการณ์ผลการเลือกตั้งว่าเพื่อไทยจะได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในกรณีที่ชนะไม่ถึง 50% และขาดเหลืออีกไม่มาก 10-20 เสียง จำเป็นต้องดึงพักร่วมมาเสริมรัฐบาลนั้น ความเสี่ยงของเพื่อไทยจะเผชิญกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับการพลิกสถานการณ์ของประชาธิปัตย์ เมื่อ ธ.ค. 51 อาจจะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ดี การประท้วงจากกลุ่มคนสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณเองไม่น่าจะอยู่เฉย ความวุ่นวายต่างๆน่าจะตามมาแม้ไม่มาก แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์หากจัดตั้งมาในรูปแบบนี้ไม่น่าจะมีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งหากเป็นรูปแบบนี้คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นที่ได้ขายออกไปราว 4.5 หมื่นล้านบาทกลับ เพราะจะเป็นไปตามมุมมองส่วนใหญ่ของสำนักวิจัยเหล่านั้น ในช่วง ก.พ. ที่มีต่อเสถียรภาพอันแข็งแกร่งของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่จัดตั้งกับพรรคร่วม ตลอดถึงผู้ให้การสนับสนุนอื่นๆซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่นิยมอดีตนายกฯทักษิณในปี 49 ทำให้คาดว่า SET แกว่งตัว 1000-1050 จุด
ขณะที่ในกรณีชนะคะแนน เกิน 50% ไม่มาก จำเป็นต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่งเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งไม่รวมประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย แต่อาจมี ส.ส.ภูมิใจไทยบางส่วนที่ขอเข้าร่วมด้วย 10-15 คน ในกรณีนี้ต้องดูว่าในท้ายที่สุดแล้วเมื่อผ่านใบแดง ใบเหลืองแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลจะมีคะแนนเหลืออยู่ที่เท่าใด ถ้ายังเกิน 50%-60% จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในวาระที่ 2 อันได้แก่ 1.คดี SC ของนางสาวยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หากเป็นไปตามสถานการณ์นี้ ต่างชาติจะมองความเสี่ยงการเมืองไทยและยังคงลดพอร์ตต่อเนื่อง หรือหยุดรอดูสถานการณ์จนกว่าภาพทุกอย่างจะชัดเจน คาด SET แกว่งตัว 950-1050 จุด
สำหรับกรณีสุดท้ายที่มองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อย คือ ชนะคะแนนเกิน 50% และอาจมากถึง 70% กรณีนี้น่าจะสร้างความเสี่ยงให้กับเพื่อไทยน้อยสุดในแง่ของความชอบธรรมจากมหาชน ขณะที่กลุ่มผู้ไม่นิยมคุณทักษิณอาจต้องปล่อยให้ไปตามกระแสในช่วงต้น เหตุการณ์กรณีคดี SC ของคุณยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แม้มีโอกาสเกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้เลือกตั้งขึ้นมา ดังนั้น คาดจุดที่จะทำให้รัฐบาลเพื่อไทยสั่นคลอนได้ คือ การที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจนำประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมคุณทักษิณมาพิจารณาซึ่งจะเข้ากลับสโลแกนของประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้คือ “ไม่ล้างผิดให้คนเพียงคนเดียว” คาด SET แกว่งตัว 1000-1100 จุด
ดังนั้น สรุปได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลจะเกิดขึ้นในกรณีใดก็ตาม นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนนักลงทุนในประเทศยังคงมองเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงอาจมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่มีการชะลอตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็กยังเชื่อว่าจะเป็นการชะลอตัวในช่วงสั้น โดยยังคงดัชนีสิ้นปี 2554 ไว้ที่ 1,139 จุด แต่อาจจะมีการปรับตัวลดลงตามเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจมีผลต่อดัชนีที่อาจจะลดลงไปถึง 950 จุดได้ในไตรมาส 3
ด้านนางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศสิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ และการยังไม่ได้มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าจีนจะเลิกมาตรการรัดเข็มขัด และเศรษฐกิจจีนก็คงยังไม่สามารถฟื้นในทันทีทันใดได้ จึงเชื่อว่า Commodity Play จะยังคง Laggard โดยรวมเมื่อเทียบกับ Domestic Play จนกว่า "รถยนต์ และจีน ฟื้นจริง"
ส่วนDomestic Play หากจะเลือกลงทุนในหุ้นทันทีหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ยังคงให้เลือกกลุ่มค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ อาหาร ไฟฟ้า-สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล รับเหมาก่อสร้าง เป็นหลัก โดยมีเหตุสนับสนุนจาก ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศของไทยดีขึ้นโดยลำดับ ความวิตกทางการเมืองถึงขั้นมีปฏิวัติ เชื่อว่าโอกาสน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย และหลังมีรัฐบาลใหม่ คงมีแนวคิดในการบริหารประโยชน์โดยใช้นโยบายประชานิยมในทันที เงินสะพัด เศรษฐกิจเดินหน้า จังหวะการลงทุน คือเข้าซื้อทันทีหลังผลเลือกตั้งชัดเจน
สำหรับ Commodity Play การเข้าซื้อเร็ว และผิดจังหวะอาจจะเปล่าประโยชน์ ระยะเวลาที่ดีน่าจะอยู่ราวกลางไตรมาส 3/54 โดยเชื่อว่าจุดวกกลับของ Commodity ที่จะเห็นกลับมาดีเป็นขาขึ้นได้คาดว่าเกิดขึ้นจาก 1.อุตสาหกรรมรถยนต์มีการฟื้นตัวชัดเจน หรือผงกหัวขึ้น (บางประเทศ เช่นญี่ปุ่นจะเห็นการฟื้นในช่วง พ.ค.- มิ.ย.นี้แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน) 2.จีน: ที่วิตกและกลัวกันอย่างมากเรื่องมาตรการรัดเข็มขัด สิ่งที่ต้องรอดูต่อไปคือ เงินเฟ้อ จีน สหรัฐฯ สูงมากช่วง พ.ค. ที่ 5.5% และ 3.6% YoY อัตราที่ประกาศเหล่านี้ อาจพีคไปแล้ว ถ้ามีสัญญาณคอนเฟิร์มว่าพีคไปแล้ว จากนี้ไปจะอ่อนตัวลง และคลายกังวลได้ ตอนนั้น ต้องเริ่มลงมือซื้อหุ้น แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่เห็นแล้วคือ ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมา จาก Manipulate ของ IEA ในการขายน้ำมันสำรองทางยุทธ์ศาสตร์ออกมา ซึ่งส่วนนี้ เป็นส่วนของสหรัฐฯ 50% ยุโรป 30% และอื่น ๆ อีก 20% งานนี้สหรัฐฯ และยุโรปรับเงินไปมีหน้าตักพอสมควร นำไปใช้หนี้ก็จะตัวเบาขึ้น อีกทั้งทำให้เงินเฟ้อผ่อนคลาย คาดการณ์ไปก่อนได้เลยว่าจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้ออ่อนตัวลง ช่วงเวลานั้น ใครเข้าข่ายเป็นคอมมอดิตี้ รีบรายงานตัว หุ้นจะขึ้นแล้ว ที่เข้าข่ายจะได้แก่ ยานยนต์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เหล็ก สินค้าเกษตร เรือ
ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง แนะนำ อิง Domestic Play ไว้ก่อนในช่วงแรก หากสัญญาณต่างประเทศมาเมื่อไร การขึ้นรอบใหม่จะสดใสด้วย Commodity
ตลาดหุ้นไทย วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (30มิ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ ระดับ 1,041.48 จุด การเปลี่ยนแปลงของดัชนีในรอบ 3 เดือนอยู่ที่ 0.83% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 8,512,876.08 ล้านบาท ด้านการลงทุนแยกตามประเภท พบว่า ในเดือนมิถุนายน นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทย 26,898.95 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 2,394.62 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 7,822.79 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่ 1 มกราคมจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสม 14,676.89 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ขายสุทธิสะสม 4,947.65 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินถึงภาพของการลงทุนภายหลังการเลือกตั้งว่า ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล การลงทุนขนาดใหญ่ และนโยบายประชานิยมจะยังคงดำเนินต่อไป ด้วยเหตุนี้กลุ่มการบริโภค อาทิ CPALL, MAKRO, BIGC, ITD, STEC, Materials เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการประกันราคาสินค้า นโยบายการกระจายความเจริญสู่ชนบท รวมไปถึงนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาหลังการเลือกตั้งที่จะกำหนดสถานการณ์ต่อไปในอนาคตได้ คือ จำนวนเสียงที่ได้มาเป็นอันดับ 1 นั้นจะมากเพียงใด โดยจากการประเมินแบ่งความน่าจะเป็นออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่ถึง 50% ต้องอาศัยพรรคร่วม กรณีที่ 2 คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% ไม่มาก ต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่ง และกรณีสุดท้าย คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 เกิน 50% และอาจมากถึง 70% ซึ่งถือเป็นความเป็นไปได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย
ทั้งนี้ หากประเมินจากโพล 4 สำนักใหญ่ และคนจำนวนไม่น้อย คาดการณ์ผลการเลือกตั้งว่าเพื่อไทยจะได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในกรณีที่ชนะไม่ถึง 50% และขาดเหลืออีกไม่มาก 10-20 เสียง จำเป็นต้องดึงพักร่วมมาเสริมรัฐบาลนั้น ความเสี่ยงของเพื่อไทยจะเผชิญกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับการพลิกสถานการณ์ของประชาธิปัตย์ เมื่อ ธ.ค. 51 อาจจะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ดี การประท้วงจากกลุ่มคนสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณเองไม่น่าจะอยู่เฉย ความวุ่นวายต่างๆน่าจะตามมาแม้ไม่มาก แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์หากจัดตั้งมาในรูปแบบนี้ไม่น่าจะมีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งหากเป็นรูปแบบนี้คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นที่ได้ขายออกไปราว 4.5 หมื่นล้านบาทกลับ เพราะจะเป็นไปตามมุมมองส่วนใหญ่ของสำนักวิจัยเหล่านั้น ในช่วง ก.พ. ที่มีต่อเสถียรภาพอันแข็งแกร่งของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่จัดตั้งกับพรรคร่วม ตลอดถึงผู้ให้การสนับสนุนอื่นๆซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่นิยมอดีตนายกฯทักษิณในปี 49 ทำให้คาดว่า SET แกว่งตัว 1000-1050 จุด
ขณะที่ในกรณีชนะคะแนน เกิน 50% ไม่มาก จำเป็นต้องมีพรรคร่วมจำนวนหนึ่งเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งไม่รวมประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย แต่อาจมี ส.ส.ภูมิใจไทยบางส่วนที่ขอเข้าร่วมด้วย 10-15 คน ในกรณีนี้ต้องดูว่าในท้ายที่สุดแล้วเมื่อผ่านใบแดง ใบเหลืองแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลจะมีคะแนนเหลืออยู่ที่เท่าใด ถ้ายังเกิน 50%-60% จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในวาระที่ 2 อันได้แก่ 1.คดี SC ของนางสาวยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หากเป็นไปตามสถานการณ์นี้ ต่างชาติจะมองความเสี่ยงการเมืองไทยและยังคงลดพอร์ตต่อเนื่อง หรือหยุดรอดูสถานการณ์จนกว่าภาพทุกอย่างจะชัดเจน คาด SET แกว่งตัว 950-1050 จุด
สำหรับกรณีสุดท้ายที่มองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อย คือ ชนะคะแนนเกิน 50% และอาจมากถึง 70% กรณีนี้น่าจะสร้างความเสี่ยงให้กับเพื่อไทยน้อยสุดในแง่ของความชอบธรรมจากมหาชน ขณะที่กลุ่มผู้ไม่นิยมคุณทักษิณอาจต้องปล่อยให้ไปตามกระแสในช่วงต้น เหตุการณ์กรณีคดี SC ของคุณยิ่งลักษณ์ และคดียุบพรรคจากสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แม้มีโอกาสเกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้เลือกตั้งขึ้นมา ดังนั้น คาดจุดที่จะทำให้รัฐบาลเพื่อไทยสั่นคลอนได้ คือ การที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจนำประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมคุณทักษิณมาพิจารณาซึ่งจะเข้ากลับสโลแกนของประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้คือ “ไม่ล้างผิดให้คนเพียงคนเดียว” คาด SET แกว่งตัว 1000-1100 จุด
ดังนั้น สรุปได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลจะเกิดขึ้นในกรณีใดก็ตาม นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนนักลงทุนในประเทศยังคงมองเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงอาจมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่มีการชะลอตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็กยังเชื่อว่าจะเป็นการชะลอตัวในช่วงสั้น โดยยังคงดัชนีสิ้นปี 2554 ไว้ที่ 1,139 จุด แต่อาจจะมีการปรับตัวลดลงตามเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจมีผลต่อดัชนีที่อาจจะลดลงไปถึง 950 จุดได้ในไตรมาส 3
ด้านนางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศสิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ และการยังไม่ได้มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าจีนจะเลิกมาตรการรัดเข็มขัด และเศรษฐกิจจีนก็คงยังไม่สามารถฟื้นในทันทีทันใดได้ จึงเชื่อว่า Commodity Play จะยังคง Laggard โดยรวมเมื่อเทียบกับ Domestic Play จนกว่า "รถยนต์ และจีน ฟื้นจริง"
ส่วนDomestic Play หากจะเลือกลงทุนในหุ้นทันทีหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ยังคงให้เลือกกลุ่มค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ อาหาร ไฟฟ้า-สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล รับเหมาก่อสร้าง เป็นหลัก โดยมีเหตุสนับสนุนจาก ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศของไทยดีขึ้นโดยลำดับ ความวิตกทางการเมืองถึงขั้นมีปฏิวัติ เชื่อว่าโอกาสน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย และหลังมีรัฐบาลใหม่ คงมีแนวคิดในการบริหารประโยชน์โดยใช้นโยบายประชานิยมในทันที เงินสะพัด เศรษฐกิจเดินหน้า จังหวะการลงทุน คือเข้าซื้อทันทีหลังผลเลือกตั้งชัดเจน
สำหรับ Commodity Play การเข้าซื้อเร็ว และผิดจังหวะอาจจะเปล่าประโยชน์ ระยะเวลาที่ดีน่าจะอยู่ราวกลางไตรมาส 3/54 โดยเชื่อว่าจุดวกกลับของ Commodity ที่จะเห็นกลับมาดีเป็นขาขึ้นได้คาดว่าเกิดขึ้นจาก 1.อุตสาหกรรมรถยนต์มีการฟื้นตัวชัดเจน หรือผงกหัวขึ้น (บางประเทศ เช่นญี่ปุ่นจะเห็นการฟื้นในช่วง พ.ค.- มิ.ย.นี้แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน) 2.จีน: ที่วิตกและกลัวกันอย่างมากเรื่องมาตรการรัดเข็มขัด สิ่งที่ต้องรอดูต่อไปคือ เงินเฟ้อ จีน สหรัฐฯ สูงมากช่วง พ.ค. ที่ 5.5% และ 3.6% YoY อัตราที่ประกาศเหล่านี้ อาจพีคไปแล้ว ถ้ามีสัญญาณคอนเฟิร์มว่าพีคไปแล้ว จากนี้ไปจะอ่อนตัวลง และคลายกังวลได้ ตอนนั้น ต้องเริ่มลงมือซื้อหุ้น แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่เห็นแล้วคือ ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมา จาก Manipulate ของ IEA ในการขายน้ำมันสำรองทางยุทธ์ศาสตร์ออกมา ซึ่งส่วนนี้ เป็นส่วนของสหรัฐฯ 50% ยุโรป 30% และอื่น ๆ อีก 20% งานนี้สหรัฐฯ และยุโรปรับเงินไปมีหน้าตักพอสมควร นำไปใช้หนี้ก็จะตัวเบาขึ้น อีกทั้งทำให้เงินเฟ้อผ่อนคลาย คาดการณ์ไปก่อนได้เลยว่าจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้ออ่อนตัวลง ช่วงเวลานั้น ใครเข้าข่ายเป็นคอมมอดิตี้ รีบรายงานตัว หุ้นจะขึ้นแล้ว ที่เข้าข่ายจะได้แก่ ยานยนต์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เหล็ก สินค้าเกษตร เรือ
ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง แนะนำ อิง Domestic Play ไว้ก่อนในช่วงแรก หากสัญญาณต่างประเทศมาเมื่อไร การขึ้นรอบใหม่จะสดใสด้วย Commodity