ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วานนี้(28 มิ.ย.) กลุ่มปัญญาสยาม ได้จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “เลือกตั้งใหญ่ใกล้มาถึง เลือกใครดี?” ดร.พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีตสสร.ปี2550 กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดมากที่พรรคเพื่อไทยซึ่งมีปัญหาในอดีตเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น แต่เหตุใดผลสำรวจกลับนำมาเป็นอันดับ 1 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลงานรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีผลงานไม่เข้าตาประชาชน ไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆได้
“คนส่วนใหญ่ที่ตอบคำถามโพลไม่ได้รักเพื่อไทย แต่ไม่ชอบใจการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ถึงหันมาเลือก ซึ่งคนกลุ่มนี้มีไม่น้อยกว่า 20-30% อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยต้องอยู่ภายใต้กลุ่มทุน 2 กลุ่มเท่านั้น ผมเห็นควรจะเป็นการเมืองที่กระจายออก หากจะมีกลุ่มทุนก็ควรมีกลุ่มทุนอิสระ และถ้าเป็นไปได้ควรจะเลือกพรรคเล็กและพรรคขนาดกลางให้มากขึ้นอย่าให้ผูกขาดกับพรรคใหญ่สองพรรค โดยเหตุผลที่ควรจะเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ 1.เราควรเลือกพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดกลางให้มากขึ้นเพื่อขจัดการผูกขาดของพรรคขนาดใหญ่สองพรรคที่ในระยะหลังไม่เกรงใจประชาชน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ 2.ควรจะเลือกพรรคที่คิดจะเข้ามาปฏิรูปประเทศชาติให้มากขึ้น ไม่ใช่เลือกพรรคที่คิดจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศ และประชานิยมมากเกินไป”ดร.พิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ยังได้ประเมินคะแนนความนิยมหลังจากการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ ว่า มีผลในทางการเมือง และทำให้คะแนนพรรคเพื่อไทยลดลงประมาณ 5-6% ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 8-10% โดยหากประเมินกระแสก่อนวันเลือกตั้ง 3 วัน คะแนนนิยมของประชาธิปัตย์กระเตื้องขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องจับตาดูตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจของประชาชนโดยเฉพาะการเขี่ยเรื่องนิรโทษกรรม และคืนเงิน4.6 หมื่นล้านบาท ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2. ความแตกแยกและความขัดแย้งในสังคม การหมิ่นสถาบัน 3.เมื่อได้รัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริงหรือไม่
“ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยน่าจะได้ส.ส.รวมทั้งหมด 220 ที่นั่ง บวกลบแล้วไม่เกินสิบ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะได้ 170 ที่นั่ง บวกลบไม่เกินสิบเช่นกัน แต่ปัญหาคือพรรคที่ 3 อย่างพรรคภูมิใจไทยจะได้คะแนนเสียงเท่าไร เพราะตรงนี้จะเป็นตัวแปรว่าต่อไปหน้าตารัฐบาลจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ในภาคกลางนั้นคะแนนมีสิทธิ์แปรเปลี่ยนได้เยอะมาก เพราะประชาชนหลายคนยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกข้างอย่างภาคอีสานและเหนือ ซึ่งต้องจับตาพรรคภูมิใจไทยให้ดีเพราะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งถ้ากวาดส.ส.ได้ 50 ที่นั่ง หน้าตารัฐบาลจะคล้ายๆกับชุดปัจจุบัน แต่ถ้าได้คะแนนต่ำกว่า 40 ที่นั่งลงไป อาจจะเกิดรัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ส่วนชาติไทยพัฒนาน่าจะได้ 20 กว่าที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินมีสิทธิ์ได้ต่ำกว่า 20 ที่นั่ง”ดร.พิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ตนไม่แน่ใจว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าประชาธิปัตย์ได้ ในภาพลักษณ์เหมือนจะได้ประโยชน์ แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมางานปฏิรูปประเทศไม่ได้มีการเร่งรีบที่จะจัดทำเลย ทั้งสองพรรคไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปประเทศเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตตนอยากให้มีรัฐบาลกลางมาบริหารประเทศไทยที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยประมาณ 3-5 ปี และเร่งปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และปัญหาที่หมักหมมอยู่ โดยจะไม่ให้การสนับสนุนการปฏิวัติ รัฐประหาร
ขณะที่ นายอานุภาพ ธีรณิศรานนท์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ธุรกิจการเมืองวันนี้มีการซื้อเสียงที่เป็นบรรทัดฐานของการเมืองไทยไปแล้ว ในชนบทนั้นหากบ้านใดมีกองไฟแสดงว่ายังไม่ได้รับเงิน เมื่อซื้อเสียงแล้วก็จะถอนทุน คอรัปชั่น ซื้อตำแหน่ง ข้ามหัวกันในระบบราชการ จนคนดีๆไปอยู่เอกชนกันหมด คนที่เข้ามาเอาประโยชน์กับประเทศนั้น คนส่วนใหญ่จะอยู่ได้อย่างไร ตนห่วงทหารมาก หากซื้อตำแหน่งได้ก็น่าเป็นห่วงความมั่นคงของชาติ ยามนี้หากใครจะลงสมัครส.ส.นั้น ต้องถามว่าเลวพอหรือยังที่จะไปเป็นส.ส. ต่างกับสมัยก่อนที่จะถามว่าดีพอแล้วหรือไม่ที่จะสมัครส.ส. เพื่อนของตนเคยลงสมัครส.ส.พรรคใหญ่ในกทม. โดนตั้งคำถามว่ามีเงินเท่าใด
“คนส่วนใหญ่ที่ตอบคำถามโพลไม่ได้รักเพื่อไทย แต่ไม่ชอบใจการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ถึงหันมาเลือก ซึ่งคนกลุ่มนี้มีไม่น้อยกว่า 20-30% อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยต้องอยู่ภายใต้กลุ่มทุน 2 กลุ่มเท่านั้น ผมเห็นควรจะเป็นการเมืองที่กระจายออก หากจะมีกลุ่มทุนก็ควรมีกลุ่มทุนอิสระ และถ้าเป็นไปได้ควรจะเลือกพรรคเล็กและพรรคขนาดกลางให้มากขึ้นอย่าให้ผูกขาดกับพรรคใหญ่สองพรรค โดยเหตุผลที่ควรจะเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ 1.เราควรเลือกพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดกลางให้มากขึ้นเพื่อขจัดการผูกขาดของพรรคขนาดใหญ่สองพรรคที่ในระยะหลังไม่เกรงใจประชาชน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ 2.ควรจะเลือกพรรคที่คิดจะเข้ามาปฏิรูปประเทศชาติให้มากขึ้น ไม่ใช่เลือกพรรคที่คิดจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศ และประชานิยมมากเกินไป”ดร.พิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ยังได้ประเมินคะแนนความนิยมหลังจากการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ ว่า มีผลในทางการเมือง และทำให้คะแนนพรรคเพื่อไทยลดลงประมาณ 5-6% ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 8-10% โดยหากประเมินกระแสก่อนวันเลือกตั้ง 3 วัน คะแนนนิยมของประชาธิปัตย์กระเตื้องขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องจับตาดูตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจของประชาชนโดยเฉพาะการเขี่ยเรื่องนิรโทษกรรม และคืนเงิน4.6 หมื่นล้านบาท ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2. ความแตกแยกและความขัดแย้งในสังคม การหมิ่นสถาบัน 3.เมื่อได้รัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริงหรือไม่
“ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยน่าจะได้ส.ส.รวมทั้งหมด 220 ที่นั่ง บวกลบแล้วไม่เกินสิบ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะได้ 170 ที่นั่ง บวกลบไม่เกินสิบเช่นกัน แต่ปัญหาคือพรรคที่ 3 อย่างพรรคภูมิใจไทยจะได้คะแนนเสียงเท่าไร เพราะตรงนี้จะเป็นตัวแปรว่าต่อไปหน้าตารัฐบาลจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ในภาคกลางนั้นคะแนนมีสิทธิ์แปรเปลี่ยนได้เยอะมาก เพราะประชาชนหลายคนยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกข้างอย่างภาคอีสานและเหนือ ซึ่งต้องจับตาพรรคภูมิใจไทยให้ดีเพราะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งถ้ากวาดส.ส.ได้ 50 ที่นั่ง หน้าตารัฐบาลจะคล้ายๆกับชุดปัจจุบัน แต่ถ้าได้คะแนนต่ำกว่า 40 ที่นั่งลงไป อาจจะเกิดรัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ส่วนชาติไทยพัฒนาน่าจะได้ 20 กว่าที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินมีสิทธิ์ได้ต่ำกว่า 20 ที่นั่ง”ดร.พิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ตนไม่แน่ใจว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าประชาธิปัตย์ได้ ในภาพลักษณ์เหมือนจะได้ประโยชน์ แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมางานปฏิรูปประเทศไม่ได้มีการเร่งรีบที่จะจัดทำเลย ทั้งสองพรรคไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปประเทศเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตตนอยากให้มีรัฐบาลกลางมาบริหารประเทศไทยที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยประมาณ 3-5 ปี และเร่งปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และปัญหาที่หมักหมมอยู่ โดยจะไม่ให้การสนับสนุนการปฏิวัติ รัฐประหาร
ขณะที่ นายอานุภาพ ธีรณิศรานนท์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ธุรกิจการเมืองวันนี้มีการซื้อเสียงที่เป็นบรรทัดฐานของการเมืองไทยไปแล้ว ในชนบทนั้นหากบ้านใดมีกองไฟแสดงว่ายังไม่ได้รับเงิน เมื่อซื้อเสียงแล้วก็จะถอนทุน คอรัปชั่น ซื้อตำแหน่ง ข้ามหัวกันในระบบราชการ จนคนดีๆไปอยู่เอกชนกันหมด คนที่เข้ามาเอาประโยชน์กับประเทศนั้น คนส่วนใหญ่จะอยู่ได้อย่างไร ตนห่วงทหารมาก หากซื้อตำแหน่งได้ก็น่าเป็นห่วงความมั่นคงของชาติ ยามนี้หากใครจะลงสมัครส.ส.นั้น ต้องถามว่าเลวพอหรือยังที่จะไปเป็นส.ส. ต่างกับสมัยก่อนที่จะถามว่าดีพอแล้วหรือไม่ที่จะสมัครส.ส. เพื่อนของตนเคยลงสมัครส.ส.พรรคใหญ่ในกทม. โดนตั้งคำถามว่ามีเงินเท่าใด