วานนี้(22 มิ.ย) นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเพื่อประมาณการจำนวนที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อทั่วประเทศ จากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 28 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรปราการ นครนายก สุพรรณบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี นครปฐม สระแก้ว นครราชสีมา ขอนแก่น อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เลย หนองคาย กาฬสินธุ์ พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ น่าน อุทัยธานี สุโขทัย เพชรบูรณ์ สุราษฎร์ธานี สงขลา และยะลา จำนวน 5,349 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-21 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา
โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระดับครัวเรือน พบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งจะมีผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 76.2 และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่ามีผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิจำนวน 36,057,794 คน หรือประมาณ 36 ล้านคน ในช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 หมายความว่า ความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ไปใช้สิทธิอยู่ระหว่างร้อยละ 69.2 ถึงร้อยละ 83.2 และมีผู้ไม่ไปใช้สิทธิร้อยละ 23.8 หรือประมาณ 11,262,145 คนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 47,319,939 คน
กลุ่มคนที่ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งมีผู้ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งในใจแล้วอยู่ที่ร้อยละ 69.9 หรือประมาณ 25,204,398 คน หรือกว่า 25 ล้านคน แต่มีผู้ยังไม่ตัดสินใจร้อยละ 30.1 หรือประมาณ 10,853,396 คน หรือกล่าวได้ว่าประมาณ 10 ล้านคนที่ยังไม่ตัดสินใจ จากจำนวนผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ 36,057,794 คน
เมื่อคำนวนจำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยประมาณการจำนวนที่นั่งตามสูตร ที่นำเอาค่าประมาณคะแนนของทุกพรรคการเมืองรวมกันหารด้วยจำนวนที่นั่ง และนำผลหารไปหารค่าคะแนนนิยมของแต่ละพรรคการเมืองที่ประมาณการได้ โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 พบว่า พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะอยู่ในช่วง 46-63 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้ในช่วง 40-58 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทยจะได้ในช่วง 0-17 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินจะได้ช่วง 0-13 ที่นั่ง พรรคอื่นๆ เช่น พรรครักประเทศไทย รักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น จะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเป็นช่วง 0-18 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณจำนวนที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นจุดตำแหน่ง พบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะได้ 55 ที่นั่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 43.7 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด พรรคประชาธิปัตย์ได้ 49 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 39.1 พรรคภูมิใจไทยได้ 8 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 6.6 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินได้ 4 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 และพรรคอื่นๆ เช่น พรรครักประเทศไทย รักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ พรรคชาติไทยพัฒนา คาดว่าจะได้รวมกันประมาณ 9 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด ผลสำรวจยังพบด้วยว่ามีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนอยู่ร้อยละ 5.1 ของผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ผลสำรวจที่ค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงนำพรรคประชาธิปัตย์ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่เมื่อเป็นข้อมูลจากการสำรวจด้วยตัวอย่างจึงต้องคำนวนช่วงความคลาดเคลื่อนด้วย ก็จะพบว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ทั้งสองพรรคยังคงมีโอกาสที่จะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่ทิ้งห่างกันมากนัก และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่ายังมีคนที่ยังไม่ตัดสินใจอีกประมาณสิบล้านคน ที่น่าจะเป็นกลุ่มคนตัดสินผลการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแบบทิ้งห่างตามกระแสข่าวสารและประชาชนจะตัดสินใจตามกระแสนั้นหรือไม่ หรือคนกลุ่มนี้จะตัดสินใจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาแตกต่างไปจากกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ดังนั้น วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จึงขึ้นอยู่ว่าประชาชนจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลช่วงเวลาสั้นๆ ที่ปรากฏในเดือนหรือสองเดือนนี้ หรือประชาชนจะตัดสินใจเลือกตั้งด้วยการนำเอาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองย้อนหลังไปในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาว่าประเทศชาติได้บอบช้ำกับความวุ่นวายต่างๆ ทางการเมืองที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำได้เพียงนั่งดูความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินต่างๆ ด้วยความหดหู่หน้าจอทีวีและในสื่อต่างๆ
โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระดับครัวเรือน พบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งจะมีผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 76.2 และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่ามีผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิจำนวน 36,057,794 คน หรือประมาณ 36 ล้านคน ในช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 หมายความว่า ความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ไปใช้สิทธิอยู่ระหว่างร้อยละ 69.2 ถึงร้อยละ 83.2 และมีผู้ไม่ไปใช้สิทธิร้อยละ 23.8 หรือประมาณ 11,262,145 คนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 47,319,939 คน
กลุ่มคนที่ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งมีผู้ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งในใจแล้วอยู่ที่ร้อยละ 69.9 หรือประมาณ 25,204,398 คน หรือกว่า 25 ล้านคน แต่มีผู้ยังไม่ตัดสินใจร้อยละ 30.1 หรือประมาณ 10,853,396 คน หรือกล่าวได้ว่าประมาณ 10 ล้านคนที่ยังไม่ตัดสินใจ จากจำนวนผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ 36,057,794 คน
เมื่อคำนวนจำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยประมาณการจำนวนที่นั่งตามสูตร ที่นำเอาค่าประมาณคะแนนของทุกพรรคการเมืองรวมกันหารด้วยจำนวนที่นั่ง และนำผลหารไปหารค่าคะแนนนิยมของแต่ละพรรคการเมืองที่ประมาณการได้ โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 พบว่า พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะอยู่ในช่วง 46-63 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้ในช่วง 40-58 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทยจะได้ในช่วง 0-17 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินจะได้ช่วง 0-13 ที่นั่ง พรรคอื่นๆ เช่น พรรครักประเทศไทย รักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น จะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเป็นช่วง 0-18 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณจำนวนที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นจุดตำแหน่ง พบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะได้ 55 ที่นั่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 43.7 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด พรรคประชาธิปัตย์ได้ 49 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 39.1 พรรคภูมิใจไทยได้ 8 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 6.6 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินได้ 4 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 และพรรคอื่นๆ เช่น พรรครักประเทศไทย รักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ พรรคชาติไทยพัฒนา คาดว่าจะได้รวมกันประมาณ 9 ที่นั่งหรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด ผลสำรวจยังพบด้วยว่ามีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนอยู่ร้อยละ 5.1 ของผู้ตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ผลสำรวจที่ค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงนำพรรคประชาธิปัตย์ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่เมื่อเป็นข้อมูลจากการสำรวจด้วยตัวอย่างจึงต้องคำนวนช่วงความคลาดเคลื่อนด้วย ก็จะพบว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ทั้งสองพรรคยังคงมีโอกาสที่จะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่ทิ้งห่างกันมากนัก และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่ายังมีคนที่ยังไม่ตัดสินใจอีกประมาณสิบล้านคน ที่น่าจะเป็นกลุ่มคนตัดสินผลการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแบบทิ้งห่างตามกระแสข่าวสารและประชาชนจะตัดสินใจตามกระแสนั้นหรือไม่ หรือคนกลุ่มนี้จะตัดสินใจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาแตกต่างไปจากกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ดังนั้น วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จึงขึ้นอยู่ว่าประชาชนจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลช่วงเวลาสั้นๆ ที่ปรากฏในเดือนหรือสองเดือนนี้ หรือประชาชนจะตัดสินใจเลือกตั้งด้วยการนำเอาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองย้อนหลังไปในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาว่าประเทศชาติได้บอบช้ำกับความวุ่นวายต่างๆ ทางการเมืองที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำได้เพียงนั่งดูความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินต่างๆ ด้วยความหดหู่หน้าจอทีวีและในสื่อต่างๆ