ASTVผู้จัดการรายวัน – "กสิกรไทย"ยันไม่แข่งดอกเบี้ย 0%กับโครงการรัฐ มั่นใจหมดวงเงิน ยอดขอกู้กลับมาปกติ คาดทั้งปีปล่อยกู้ 5 หมื่นล้าน ต่ำกว่าปีก่อน แนะประชาชนรีบซื้อบ้านก่อนภาระเพิ่ม อีกไม่น้อยกว่า 15% จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบคาดว่าจะเติบโต 8.5% ลดลงจากปีก่อนที่เติบโตในระดับ 9.2% เช่นกัน ทั้งนี้ เป็นผลจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการเร่งโอนบ้านในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจัดโครงการบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 2 ปี ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)นั้น นายชาติชาย กล่าวว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เนื่องจากลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่จะขอกู้ในวงเงินตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่กลุ่มผู้ขอสินเชื่อในโครงการบ้านหลังแรกวงเงินเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะไม่แข่งขันด้านราคา หรือจัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% แข่งกับโครงการดังกล่าว เนื่องจากไม่คุ้มกับต้นทุนของธนาคาร และเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นจะไม่ลงไปแข่งขันเช่นกัน
"ธนาคารคงไม่ลงไปแข่งทำดอกเบี้ยถูกเพื่อดึงลูกค้าเพราะจะทำให้ขาดทุน แต่คาดว่าเมื่อวงเงินของสินเชื่อโครงการดังกล่าวหมด ก็จะมีประชาชนมาขอกู้ปกติ และแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาจะมีนโยบาย 0% เข้ามาอีกก็จะไม่แข่งขันเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามากว่าจะเริ่มทำงานได้ก็สิ้นปี จึงไม่จำเป็นต้องออกแผนการตลาดใหม่ๆมารองรับ ส่วนการที่มีแบงก์พาณิชย์จับมือกับผู้ประกอบการออกแคมเปญสินเชื่อราคาถูกนั้น ผู้ประกอบการเป็นผู้รับผิดชอบส่วนต่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด"
นายชาติชายกล่าวอีกว่า อยากจะแนะนำให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงนี้ให้รีบซื้อ เพราะแนวโน้มราคบ้านจะปรับขึ้นอีกอย่างแน่นอน ที่เห็นชัดเจนคือ ดอกเบี้ยปัจจุบันปรับขึ้นมาจากปีที่แล้วประมาณ 1.25% จากดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่อยู่ในระดับ 3% และช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 0.5% ทำให้จนถึงสิ้นปีคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 1.50%
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้น จะส่งผลให้ผู้กู้มีภาระค่างวดเพิ่มขึ้น โดยทุกๆ 1% ของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ภาระค่างวดของผู้กู้เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ดังนั้น อย่างน้อยผู้กู้จะมีภาระผ่อนชำระค่างวดเพิ่มขึ้นประมาณ 10.5% นอกจากนี้ยังมีปัญหาค่าก่อสร้างที่คาดว่าทั้งปีจะปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 5% ดังนั้นหากผู้ที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงสิ้นปีหรือปีหน้าซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% เมื่อเทียบกับการซื้อบ้านในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบการเงิน เนื่องจากธนาคารทุกแห่งได้คำนวณค่างวดเผื่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยไปแล้วไม่น้อยกว่า 1% ซึ่งสถานการของ NPL ในปัจจุบันบันลดลงมาจากปี 53ซึ่งในระบบสถาบันการเงินมี NPL อยู่ที่ 3% ขณะที่ของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ 1.5% เท่านั้น
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบคาดว่าจะเติบโต 8.5% ลดลงจากปีก่อนที่เติบโตในระดับ 9.2% เช่นกัน ทั้งนี้ เป็นผลจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการเร่งโอนบ้านในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจัดโครงการบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 2 ปี ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)นั้น นายชาติชาย กล่าวว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เนื่องจากลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่จะขอกู้ในวงเงินตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่กลุ่มผู้ขอสินเชื่อในโครงการบ้านหลังแรกวงเงินเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะไม่แข่งขันด้านราคา หรือจัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% แข่งกับโครงการดังกล่าว เนื่องจากไม่คุ้มกับต้นทุนของธนาคาร และเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นจะไม่ลงไปแข่งขันเช่นกัน
"ธนาคารคงไม่ลงไปแข่งทำดอกเบี้ยถูกเพื่อดึงลูกค้าเพราะจะทำให้ขาดทุน แต่คาดว่าเมื่อวงเงินของสินเชื่อโครงการดังกล่าวหมด ก็จะมีประชาชนมาขอกู้ปกติ และแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาจะมีนโยบาย 0% เข้ามาอีกก็จะไม่แข่งขันเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามากว่าจะเริ่มทำงานได้ก็สิ้นปี จึงไม่จำเป็นต้องออกแผนการตลาดใหม่ๆมารองรับ ส่วนการที่มีแบงก์พาณิชย์จับมือกับผู้ประกอบการออกแคมเปญสินเชื่อราคาถูกนั้น ผู้ประกอบการเป็นผู้รับผิดชอบส่วนต่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด"
นายชาติชายกล่าวอีกว่า อยากจะแนะนำให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงนี้ให้รีบซื้อ เพราะแนวโน้มราคบ้านจะปรับขึ้นอีกอย่างแน่นอน ที่เห็นชัดเจนคือ ดอกเบี้ยปัจจุบันปรับขึ้นมาจากปีที่แล้วประมาณ 1.25% จากดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่อยู่ในระดับ 3% และช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 0.5% ทำให้จนถึงสิ้นปีคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 1.50%
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้น จะส่งผลให้ผู้กู้มีภาระค่างวดเพิ่มขึ้น โดยทุกๆ 1% ของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ภาระค่างวดของผู้กู้เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ดังนั้น อย่างน้อยผู้กู้จะมีภาระผ่อนชำระค่างวดเพิ่มขึ้นประมาณ 10.5% นอกจากนี้ยังมีปัญหาค่าก่อสร้างที่คาดว่าทั้งปีจะปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 5% ดังนั้นหากผู้ที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงสิ้นปีหรือปีหน้าซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% เมื่อเทียบกับการซื้อบ้านในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบการเงิน เนื่องจากธนาคารทุกแห่งได้คำนวณค่างวดเผื่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยไปแล้วไม่น้อยกว่า 1% ซึ่งสถานการของ NPL ในปัจจุบันบันลดลงมาจากปี 53ซึ่งในระบบสถาบันการเงินมี NPL อยู่ที่ 3% ขณะที่ของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ 1.5% เท่านั้น