ASTV ผู้จัดการรายวัน – มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศพร้อมทุ่มลงทุน ขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพ “นิสสัน นาวารา” ตามข้อตกลงของบริษัทแม่ “มิตซูบิชิ-นิสสัน” ที่ญี่ปุ่น เผยการเจรจาเหลือเพียงเรื่องเวลาเริ่ม และจำนวนการผลิตเท่านั้น คาดน่าจะชัดเจนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้ โดยเล็งใช้โรงงานแห่งที่ 1 รับการผลิต และโยกรถพีพีวี “ปาเจโร สปอร์ต” ไปโรงงาน 2 แทน ขณะที่โรงงานใหม่แห่งที่ 3 เป็นไปตามแผน ก่อสร้างเสร็จและเริ่มทดลองผลิตอีโคคาร์ของมิตซูบิชิสิ้นปีนี้
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อตกลงระหว่างนิสสัน มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ในการร่วมมือกันทางธุรกิจ โดยหนึ่งในนั่นตกลงจะมีการผลิตปิกอัพ นิสสัน นาวารา ที่โรงงานแหลมฉบังของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ซึ่งความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนเจรจากันอยู่ และยังไม่มีการตกลงอะไรทั้งสิ้น
“แต่แนวโน้มค่อนข้างเป็นไปได้ดี คาดว่าประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่จะถึงนี้ น่าจะมีความชัดเจนออกมา เพราะหากเลยช่วงเวลานี้จะทำให้การขึ้นไลน์ประกอบไม่ทัน และต้องล่าช้าออกไป ซึ่งเรื่องที่ยังไม่มีการตกลงอยู่ที่จะเริ่มเมื่อไหร่ และจะประกอบจำนวนกี่คัน โดยในส่วนของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความพร้อมที่จะลงทุนรองรับ และดำเนินการผลิตปิกอัพให้กับนิสสันที่โรงงานแหลมฉบับ ตามข้อตกลงร่วมมือของบริษัทแม่”
ทั้งนี้การร่วมมือดังกล่าวในไทย จะเริ่มจากการรับประกอบปิกอัพนิสสันเท่านั้น โดยหากการเจรจาตกลงกันตามข้อตกลง คาดว่าจะใช้โรงงานประกอบรถยนต์มิตซูบิชิ แห่งที่ 1 ที่แหลมฉบัง จังหวัดระยอง เป็นสถานที่ขึ้นไลน์ประกอบปิกอัพนิสสัน โดยจะมีการย้ายไลน์ผลิตรถพีพีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไปประกอบยังโรงงานแห่งที่ 2 ที่ยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่แทน ซึ่งปัจจุบันโรงงานมิตซูบิชิที่แหลมฉบังทั้ง 2 แห่ง มีกำลังการผลิตเต็มที่แล้ว เนื่องจากโรงงานแห่งที่ 1 มีกำลังการผลิต 6 หมื่นคัน และโรงงานแห่งที่ 2 กำลังการผลิต 1.2 แสนคัน แต่เป้าหมายการผลิตมิตซูบิชิปีนี้อยู่ที่ 2.4 แสนคัน
“แม้ปัจจุบันกำลังการผลิตของมิตซูบิชิจะล้น แต่ทีมวิศวกรของมิตซูบิชิสามารถปรับการผลิต ด้วยการบริหารจัดการให้รองรับเป้าหมายได้ รวมถึงการขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพของนิสสัน ซึ่งมิตซูบิชิจะเป็นผู้ลงทุนในส่วนนี้ และนิสสันให้การการันตี แต่จะลงทุนจำนวนเท่าใดยังไม่สามารถระบุได้ เพราะต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนการผลิตต่อปีก่อน” นายมูราชิกล่าวและว่า
สำหรับโรงงานแห่งที่ 3 ที่มิตซูบิชิตั้งใหม่ที่แหลมฉบัง เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก มิตซูบิชิ โกลบอล สมอล หรืออีโคคาร์ในไทย ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการและแผนงานทุกอย่าง ประมาณสิ้นปีโรงงานน่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถทดลองประกอบได้ ซึ่งกำหนดการทำตลาดยังอยู่ที่ช่วงต้นปี 2554 เหมือนเดิม และเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้ตลาดอีโคคาร์ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเพียง นิสสัน มาร์ช และฮอนด้า บริโอ้
นายมูราชิกล่าวว่า ในส่วนยอดขายของมิตซูบิชิปีนี้ นับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 27,793 คัน เติบโตขึ้น 112 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มิตซูบิชิสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นสถิติใหม่ในรอบ 10 ปี ด้วยจำนวนยอดขาย 6,922 คัน
“เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดรถยนต์ในเมืองไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์ชิ้นส่วนขาดแคลนจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นเริ่มคลี่คลาย สำหรับมิตซูบิชิแม้เราจะต้องเจอกับการแข่งขันของตลาดที่จะดุเดือดขึ้น แต่ยังเชื่อว่ายอดขายรถยนต์รวมของมิตซูบิชิจะเติบโตขึ้นเช่นกัน ดังนั้นบริษัทฯ จึงปรับเป้าการขายของปีนี้เป็น 62,000 คัน หรือเพิ่มจากเป้าหมายเดิม 1 หมื่นคัน”
ส่วนเหตุผลที่มั่นใจเช่นนี้ มาจากการตอบรับของผู้บริโภคอย่างดี ดังจะเห็นจากยอดขายที่เติบโตในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทแม่ได้ให้ความสำคัญกับการผลิตรถในเมืองไทยเป็นลำดับแรก จนทำให้สามารถผลิตและส่งมอบรถได้ตามปกติ ประกอบกับการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มิตซูบิชิ ไทรทัน และปาเจโร สปอร์ต ใหม่ เครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบ รวมทั้งปิกอัพไทรทันและเก๋งแลนเซอร์ ซีเอ็นจี หรือแม้แต่การแนะนำมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนแรงเสริมในด้านยอดขายที่จะยังคงดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และกิจกรรมส่งเสริมการขาต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะผลักดันยอดขายปีนี้บรรลุ 6.2 หมื่นคัน
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากข้อตกลงระหว่างนิสสัน มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ในการร่วมมือกันทางธุรกิจ โดยหนึ่งในนั่นตกลงจะมีการผลิตปิกอัพ นิสสัน นาวารา ที่โรงงานแหลมฉบังของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ซึ่งความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนเจรจากันอยู่ และยังไม่มีการตกลงอะไรทั้งสิ้น
“แต่แนวโน้มค่อนข้างเป็นไปได้ดี คาดว่าประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่จะถึงนี้ น่าจะมีความชัดเจนออกมา เพราะหากเลยช่วงเวลานี้จะทำให้การขึ้นไลน์ประกอบไม่ทัน และต้องล่าช้าออกไป ซึ่งเรื่องที่ยังไม่มีการตกลงอยู่ที่จะเริ่มเมื่อไหร่ และจะประกอบจำนวนกี่คัน โดยในส่วนของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความพร้อมที่จะลงทุนรองรับ และดำเนินการผลิตปิกอัพให้กับนิสสันที่โรงงานแหลมฉบับ ตามข้อตกลงร่วมมือของบริษัทแม่”
ทั้งนี้การร่วมมือดังกล่าวในไทย จะเริ่มจากการรับประกอบปิกอัพนิสสันเท่านั้น โดยหากการเจรจาตกลงกันตามข้อตกลง คาดว่าจะใช้โรงงานประกอบรถยนต์มิตซูบิชิ แห่งที่ 1 ที่แหลมฉบัง จังหวัดระยอง เป็นสถานที่ขึ้นไลน์ประกอบปิกอัพนิสสัน โดยจะมีการย้ายไลน์ผลิตรถพีพีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไปประกอบยังโรงงานแห่งที่ 2 ที่ยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่แทน ซึ่งปัจจุบันโรงงานมิตซูบิชิที่แหลมฉบังทั้ง 2 แห่ง มีกำลังการผลิตเต็มที่แล้ว เนื่องจากโรงงานแห่งที่ 1 มีกำลังการผลิต 6 หมื่นคัน และโรงงานแห่งที่ 2 กำลังการผลิต 1.2 แสนคัน แต่เป้าหมายการผลิตมิตซูบิชิปีนี้อยู่ที่ 2.4 แสนคัน
“แม้ปัจจุบันกำลังการผลิตของมิตซูบิชิจะล้น แต่ทีมวิศวกรของมิตซูบิชิสามารถปรับการผลิต ด้วยการบริหารจัดการให้รองรับเป้าหมายได้ รวมถึงการขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพของนิสสัน ซึ่งมิตซูบิชิจะเป็นผู้ลงทุนในส่วนนี้ และนิสสันให้การการันตี แต่จะลงทุนจำนวนเท่าใดยังไม่สามารถระบุได้ เพราะต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนการผลิตต่อปีก่อน” นายมูราชิกล่าวและว่า
สำหรับโรงงานแห่งที่ 3 ที่มิตซูบิชิตั้งใหม่ที่แหลมฉบัง เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก มิตซูบิชิ โกลบอล สมอล หรืออีโคคาร์ในไทย ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการและแผนงานทุกอย่าง ประมาณสิ้นปีโรงงานน่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถทดลองประกอบได้ ซึ่งกำหนดการทำตลาดยังอยู่ที่ช่วงต้นปี 2554 เหมือนเดิม และเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้ตลาดอีโคคาร์ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเพียง นิสสัน มาร์ช และฮอนด้า บริโอ้
นายมูราชิกล่าวว่า ในส่วนยอดขายของมิตซูบิชิปีนี้ นับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 27,793 คัน เติบโตขึ้น 112 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มิตซูบิชิสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นสถิติใหม่ในรอบ 10 ปี ด้วยจำนวนยอดขาย 6,922 คัน
“เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดรถยนต์ในเมืองไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์ชิ้นส่วนขาดแคลนจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นเริ่มคลี่คลาย สำหรับมิตซูบิชิแม้เราจะต้องเจอกับการแข่งขันของตลาดที่จะดุเดือดขึ้น แต่ยังเชื่อว่ายอดขายรถยนต์รวมของมิตซูบิชิจะเติบโตขึ้นเช่นกัน ดังนั้นบริษัทฯ จึงปรับเป้าการขายของปีนี้เป็น 62,000 คัน หรือเพิ่มจากเป้าหมายเดิม 1 หมื่นคัน”
ส่วนเหตุผลที่มั่นใจเช่นนี้ มาจากการตอบรับของผู้บริโภคอย่างดี ดังจะเห็นจากยอดขายที่เติบโตในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทแม่ได้ให้ความสำคัญกับการผลิตรถในเมืองไทยเป็นลำดับแรก จนทำให้สามารถผลิตและส่งมอบรถได้ตามปกติ ประกอบกับการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มิตซูบิชิ ไทรทัน และปาเจโร สปอร์ต ใหม่ เครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบ รวมทั้งปิกอัพไทรทันและเก๋งแลนเซอร์ ซีเอ็นจี หรือแม้แต่การแนะนำมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนแรงเสริมในด้านยอดขายที่จะยังคงดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และกิจกรรมส่งเสริมการขาต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะผลักดันยอดขายปีนี้บรรลุ 6.2 หมื่นคัน