วานนี้(13 มิ.ย) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเงินสะพัดหมื่นล้านโอนเข้าบัญชีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสานว่า กกต.ได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) แล้ว โดยทาง ธปท.รายงานว่ายังไม่หลักฐานว่ามีการใช้เงินในการหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นคนที่ออกมาให้ข่าวควรมีหลักฐานด้วย เพราะการพูดไม่มีหลักฐานจะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ดูเหมือนว่าไม่สุจริตและยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ สิ่งที่ต้องระวังคือคำพูดและการให้ข้อมูล
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) ทุกจังหวัดและกทม. เพื่อหารือรับฟังปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ กกต.จ.นครราชสีมา ได้รายงานว่าการหาเสียงและภาพรวมเป็นไปตามปกติ ส่วนเรื่องข่าวเงินสะพัดหมื่นล้านนั้น ยังไม่ได้รับการรายงานจากทางธนาคารและจากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่พบ สำหรับข่าวผู้สมัครไปเรียกเก็บบัตรประชาชนและสัญญาว่าหากได้เป็น ส.ส.จะให้เงินนั้น ทางจังหวัดกำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวนอยู่ นอกจากนี้เรื่องร้องเรียนนายอำเภอชุมพวงที่ไม่มีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่นั้นได้มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า ไม่มีพยานยืนยันตามที่ผู้ร้องเรียนกล่าวอ้าง เพียงแต่เป็นการไปประชุมเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามปกติเท่านั้น
ด้านพ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ป.ป.ง.ได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมการเงินเป็นรายจังหวัดเสร็จสิ้นแล้ว โดยยังไม่พบข้อบ่งชี้ที่ผิดปกติว่าจะมีการนำเงินมาใช้ในการทุจริตการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.นี้ โดยการวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินในสถาบันการเงินต่างๆ เป็นการทำธุรกรรมปกติทั่วไป ดังนั้นเมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจนจึงไม่อยากแถลงข่าวเพราะเกรงจะสร้างความสับสนให้สังคม ทั้งนี้หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีข้อมูลจากการสืบสวนสอบสวนก็สามารถส่งให้ ปปง.วิเคราะห์ธุรกรรมการเงินในเชิงลึกได้ อย่างไรก็ตาม ในการตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่อาจนำไปใช้ทุจริตเลือกตั้งนั้น ตรวจสอบได้ยากกว่าความผิดการฟอกเงินในลักษณะอื่น เนื่องจากคดียาเสพติดจะมีเครือข่ายและเป้าหมายชัดเจน ขณะที่การเลือกตั้งแม้จะมีตัวผู้สมัคร แต่ขาดหลักฐานที่จะบ่งชี้ว่าธุรกรรมการเงินของผู้สมัครแต่ละคนจะนำไปใช้เพื่อการซื้อเสียง เพราะผู้สมัครแต่ละคนมีอาชีพและธุรกิจที่ต้องทำธุรกรรมการเงินตามปกติ
ส่วนการลักลอบขนเงินสดผ่านประเทศเพื่อนบ้านว่า ถือเป็นเรื่องปกติของการนำเงินเข้ามาใช้ผิดกฎหมาย โดยผู้กระทำความผิดจะไม่สำแดงกับด่านตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบเพราะปปง.มีอำนาจตรวจสอบเฉพาะธุรกรรมการโอนเงินผ่านสถาบันการเงินเท่านั้น การตรวจสอบและจับกุมการขนเงินสดจึงต้องพึ่งกระบวนการสืบสวนของกกต.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากทราบเบาะแสก็มีการประสานตม.ให้มีการจับกุมกันบริเวณหน้าด่าน
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) ทุกจังหวัดและกทม. เพื่อหารือรับฟังปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ กกต.จ.นครราชสีมา ได้รายงานว่าการหาเสียงและภาพรวมเป็นไปตามปกติ ส่วนเรื่องข่าวเงินสะพัดหมื่นล้านนั้น ยังไม่ได้รับการรายงานจากทางธนาคารและจากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่พบ สำหรับข่าวผู้สมัครไปเรียกเก็บบัตรประชาชนและสัญญาว่าหากได้เป็น ส.ส.จะให้เงินนั้น ทางจังหวัดกำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวนอยู่ นอกจากนี้เรื่องร้องเรียนนายอำเภอชุมพวงที่ไม่มีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่นั้นได้มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า ไม่มีพยานยืนยันตามที่ผู้ร้องเรียนกล่าวอ้าง เพียงแต่เป็นการไปประชุมเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามปกติเท่านั้น
ด้านพ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ป.ป.ง.ได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมการเงินเป็นรายจังหวัดเสร็จสิ้นแล้ว โดยยังไม่พบข้อบ่งชี้ที่ผิดปกติว่าจะมีการนำเงินมาใช้ในการทุจริตการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.นี้ โดยการวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินในสถาบันการเงินต่างๆ เป็นการทำธุรกรรมปกติทั่วไป ดังนั้นเมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจนจึงไม่อยากแถลงข่าวเพราะเกรงจะสร้างความสับสนให้สังคม ทั้งนี้หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีข้อมูลจากการสืบสวนสอบสวนก็สามารถส่งให้ ปปง.วิเคราะห์ธุรกรรมการเงินในเชิงลึกได้ อย่างไรก็ตาม ในการตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่อาจนำไปใช้ทุจริตเลือกตั้งนั้น ตรวจสอบได้ยากกว่าความผิดการฟอกเงินในลักษณะอื่น เนื่องจากคดียาเสพติดจะมีเครือข่ายและเป้าหมายชัดเจน ขณะที่การเลือกตั้งแม้จะมีตัวผู้สมัคร แต่ขาดหลักฐานที่จะบ่งชี้ว่าธุรกรรมการเงินของผู้สมัครแต่ละคนจะนำไปใช้เพื่อการซื้อเสียง เพราะผู้สมัครแต่ละคนมีอาชีพและธุรกิจที่ต้องทำธุรกรรมการเงินตามปกติ
ส่วนการลักลอบขนเงินสดผ่านประเทศเพื่อนบ้านว่า ถือเป็นเรื่องปกติของการนำเงินเข้ามาใช้ผิดกฎหมาย โดยผู้กระทำความผิดจะไม่สำแดงกับด่านตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบเพราะปปง.มีอำนาจตรวจสอบเฉพาะธุรกรรมการโอนเงินผ่านสถาบันการเงินเท่านั้น การตรวจสอบและจับกุมการขนเงินสดจึงต้องพึ่งกระบวนการสืบสวนของกกต.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากทราบเบาะแสก็มีการประสานตม.ให้มีการจับกุมกันบริเวณหน้าด่าน
