ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติพบเดือน พ.ค.ช่วงที่ประกาศยุบสภา ต่างชาติทิ้งหุ้น-พันธบัตร เดือนเดียว 73,000 ล้านบาท หวังหลังเลือกตั้งเงินนอกกลับไทย เผยแนวโน้มค่าเงินบาทครึ่งปีหลังผันผวนต่อไป
นายผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายตลาดการเงิน กล่าวว่า ค่าเงินบาทของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ยังเกิดขึ้น 2 ทิศทางทั้งค่าเงินบาทแข็ง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จนถึงเดือน เม.ย.มีเงินทุนไหลเข้าประเทศต่อเนื่อง และเริ่มเห็นการไหลทุนในเดือน พ.ค.และการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในเดือนมิ.ย.ทำให้ค่าเงินบาทในช่วงนี้อ่อนค่าลง
“ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอ่อนค่าลงประมาณ 0.8% เนื่องจากมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ และการลดการถือครองสินทรัพย์ไทยลงของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.เดือนเดียว นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองสินทรัพย์ไทยมากถึง 73,000 ล้านบาท โดยเป็นการขายหุ้น 16,000 ล้านบาท และการขายออก และไม่ต่ออายุพันธบัตรในตลาดตราสารหนี้ 57,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้สัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติลดลง 1% ทันที“
เกิดจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งการฟื้นตัวที่อ่อนแอของสหรัฐฯ และวิกฤตหนี้ในยุโรป ขณะที่เดียวกันปัจจัยในประเทศไทยก็ถือเป็นอีกปัจจัยหลักที่นักลงทุนต่างชาติปรับฐานการลงทุนในไทยเพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง ทำให้ถอยมาตั้งหลักก่อน
สำหรับต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติยังคงไหลออก ทั้งจากตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมองว่า การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศดังกล่าว น่าจะเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น แต่ถ้าการเลือกตั้งของไทยผ่านไปได้อย่างราบรื่น จัดตั้งรัฐบาลได้ เชื่อว่าเงินทุนต่างประเทศจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีก
แนวโน้มค่าเงินบาทในครึ่งปีหลัง น่าจะผันผวนต่อไป เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงได้รับผลกระทบหลักจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังเปราะบางตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่เงินยูโรยังผันผวน จนกว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะคลี่คลายลงได้
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย 4 เดือนแรกของปีนี้ เกินดุล 6,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่เงินไหลออกจากการลงทุนของนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศก็มีมากขึ้นด้วย.
นายผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายตลาดการเงิน กล่าวว่า ค่าเงินบาทของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ยังเกิดขึ้น 2 ทิศทางทั้งค่าเงินบาทแข็ง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จนถึงเดือน เม.ย.มีเงินทุนไหลเข้าประเทศต่อเนื่อง และเริ่มเห็นการไหลทุนในเดือน พ.ค.และการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในเดือนมิ.ย.ทำให้ค่าเงินบาทในช่วงนี้อ่อนค่าลง
“ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอ่อนค่าลงประมาณ 0.8% เนื่องจากมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ และการลดการถือครองสินทรัพย์ไทยลงของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.เดือนเดียว นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองสินทรัพย์ไทยมากถึง 73,000 ล้านบาท โดยเป็นการขายหุ้น 16,000 ล้านบาท และการขายออก และไม่ต่ออายุพันธบัตรในตลาดตราสารหนี้ 57,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้สัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติลดลง 1% ทันที“
เกิดจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งการฟื้นตัวที่อ่อนแอของสหรัฐฯ และวิกฤตหนี้ในยุโรป ขณะที่เดียวกันปัจจัยในประเทศไทยก็ถือเป็นอีกปัจจัยหลักที่นักลงทุนต่างชาติปรับฐานการลงทุนในไทยเพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง ทำให้ถอยมาตั้งหลักก่อน
สำหรับต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติยังคงไหลออก ทั้งจากตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมองว่า การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศดังกล่าว น่าจะเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น แต่ถ้าการเลือกตั้งของไทยผ่านไปได้อย่างราบรื่น จัดตั้งรัฐบาลได้ เชื่อว่าเงินทุนต่างประเทศจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีก
แนวโน้มค่าเงินบาทในครึ่งปีหลัง น่าจะผันผวนต่อไป เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงได้รับผลกระทบหลักจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังเปราะบางตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่เงินยูโรยังผันผวน จนกว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะคลี่คลายลงได้
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย 4 เดือนแรกของปีนี้ เกินดุล 6,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่เงินไหลออกจากการลงทุนของนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศก็มีมากขึ้นด้วย.
