ASTVผู้จัดการรายวัน – ปตท.การันตีผลกำไรไตรมาส 2 ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ต่ำกว่าไตรมาสแรกปีนี้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกปตท.ฟันกำไรเพิ่มขึ้น เผยเตรียมออกหุ้นกู้สกุลบาทปลายปีนี้ 3.5 หมื่นล้านบาทเพื่อไปทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดและลงทุนโครงการต่างๆ ยันล้มแผนฮุบRPC หลัง PTTAR เจรจาซื้อRPCไม่สำเร็จมาตั้งแต่3-5 ปีก่อน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปตท.ในไตรมาส 2 /2554 ยังดีตามปกติ แต่ไม่เท่ากับไตรมาส 1/2554 ที่มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจว่ากำไรสุทธิในไตรมาสนี้จะดีกว่าพอสมควรเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2554 ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2554 คงต้องรอผลประกอบการครึ่งปีหลัง แต่เชื่อว่าปีนี้ปตท.จะมีผลประกอบการไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.9 ล้านล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทฯมีปริมาณการผลิตปิโตรเคมีที่เพิ่มสูงขึ้นและราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้รายได้จากบริษัทลูกดีขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวถึงปัญหาปริมาณNGVไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคการขนส่งว่า ขณะนี้ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือเพื่อแก้ปัญหาNGVตึงตัวอยู่ โดยยอมรับว่านับวันความต้องการใช้NGVเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปริมาณรถยนต์ใหม่ที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใช้NGVออกมาหลายรุ่น ส่งผลให้สถานีNGV และการจัดหาไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งปตท.ต้องแบกรับการขาดทุนจากการจำหน่ายNGVประมาณ 4-5 บาท/ก.ก. แม้ว่ารัฐจะอุดหนุนอยู่ก.ก.ละ 2 บาทก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่ควรมีการออกมาตรการเพื่อสร้างความสมดุล โดยวางแผนระยะกลางและยาวเพื่อแก้ไขปัญหานี้และให้ปตท.อยู่ได้อย่างยั่งยืน ประชาชนมีต้นทุนพลังงานที่ไม่สูงจนเกินไป ซึ่งปตท.จะมีการชี้แจงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับรัฐบาลใหม่เข้าใจ
ยอมว่าปีนี้ปตท.คงต้องแบกรับภาระการขาดทุนจากการจำหน่ายNGVประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่รับภาระขาดทุนไปแล้ว 8 พันล้านบาท
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมออกหุ้นกู้สกุลบาทวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทในปลายปีนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดและใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งปีนี้ปตท.มีแผนลงทุนประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวจะให้สิทธิกับผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน โดยจะออกหุ้นกู้เป็น 1 หรือ 2 ล็อต
สำหรับธุรกิจถ่านหินในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีการผลิตและจำหน่ายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านตันจากปีก่อนที่มีปริมาณการจำหน่าย 10 ล้านตัน คาดว่าปริมาณการจำหน่ายถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือ 20 ล้านตันในอีก 5ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาการเพิ่มมูลค่าถ่านหินโดยเบื้องต้นจะนำถ่านหินดังกล่าวป้อนโรงงานผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ และศึกษาความเป็นไปได้ในการถ่านหินมาแปรรูปเป็นก๊าซฯและของเหลว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำงบประมาณในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว
**ปตท.เมินซื้อRPC
นายประเสริฐ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าปตท.จะซื้อหุ้นบมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC)ว่า บริษัทฯไม่มีนโยบายที่ซื้อหุ้นRPC หรือมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯแต่อย่างใด ซึ่งในอดีตบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) เคยมีการเจรจาที่จะซื้อRPCเมื่อ 3-5 ปีก่อน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้ PTTAR ตัดสินใจลงทุนใหม่แทน โดยจะนำคอนเดนเสทเรสซิดิวที่ปัจจุบันจำหน่ายให้กับRPC มาใช้เป็นวัตถุดิบหลังสิ้นสุดสัญญาซื้อขายกับRPCในปลายเดือนม.ค.2555 ส่วนข้อพิพาทระหว่างปตท.กับRPCนั้นยังอยู่ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ คงต้องปล่อยเป็นไปตามกฎหมายและสัญญาที่ทำไว้
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปตท.ในไตรมาส 2 /2554 ยังดีตามปกติ แต่ไม่เท่ากับไตรมาส 1/2554 ที่มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจว่ากำไรสุทธิในไตรมาสนี้จะดีกว่าพอสมควรเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2554 ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2554 คงต้องรอผลประกอบการครึ่งปีหลัง แต่เชื่อว่าปีนี้ปตท.จะมีผลประกอบการไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.9 ล้านล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทฯมีปริมาณการผลิตปิโตรเคมีที่เพิ่มสูงขึ้นและราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้รายได้จากบริษัทลูกดีขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวถึงปัญหาปริมาณNGVไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคการขนส่งว่า ขณะนี้ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือเพื่อแก้ปัญหาNGVตึงตัวอยู่ โดยยอมรับว่านับวันความต้องการใช้NGVเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปริมาณรถยนต์ใหม่ที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใช้NGVออกมาหลายรุ่น ส่งผลให้สถานีNGV และการจัดหาไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งปตท.ต้องแบกรับการขาดทุนจากการจำหน่ายNGVประมาณ 4-5 บาท/ก.ก. แม้ว่ารัฐจะอุดหนุนอยู่ก.ก.ละ 2 บาทก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่ควรมีการออกมาตรการเพื่อสร้างความสมดุล โดยวางแผนระยะกลางและยาวเพื่อแก้ไขปัญหานี้และให้ปตท.อยู่ได้อย่างยั่งยืน ประชาชนมีต้นทุนพลังงานที่ไม่สูงจนเกินไป ซึ่งปตท.จะมีการชี้แจงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับรัฐบาลใหม่เข้าใจ
ยอมว่าปีนี้ปตท.คงต้องแบกรับภาระการขาดทุนจากการจำหน่ายNGVประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่รับภาระขาดทุนไปแล้ว 8 พันล้านบาท
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมออกหุ้นกู้สกุลบาทวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทในปลายปีนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดและใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งปีนี้ปตท.มีแผนลงทุนประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวจะให้สิทธิกับผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน โดยจะออกหุ้นกู้เป็น 1 หรือ 2 ล็อต
สำหรับธุรกิจถ่านหินในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีการผลิตและจำหน่ายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านตันจากปีก่อนที่มีปริมาณการจำหน่าย 10 ล้านตัน คาดว่าปริมาณการจำหน่ายถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือ 20 ล้านตันในอีก 5ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาการเพิ่มมูลค่าถ่านหินโดยเบื้องต้นจะนำถ่านหินดังกล่าวป้อนโรงงานผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ และศึกษาความเป็นไปได้ในการถ่านหินมาแปรรูปเป็นก๊าซฯและของเหลว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำงบประมาณในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว
**ปตท.เมินซื้อRPC
นายประเสริฐ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าปตท.จะซื้อหุ้นบมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC)ว่า บริษัทฯไม่มีนโยบายที่ซื้อหุ้นRPC หรือมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯแต่อย่างใด ซึ่งในอดีตบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) เคยมีการเจรจาที่จะซื้อRPCเมื่อ 3-5 ปีก่อน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้ PTTAR ตัดสินใจลงทุนใหม่แทน โดยจะนำคอนเดนเสทเรสซิดิวที่ปัจจุบันจำหน่ายให้กับRPC มาใช้เป็นวัตถุดิบหลังสิ้นสุดสัญญาซื้อขายกับRPCในปลายเดือนม.ค.2555 ส่วนข้อพิพาทระหว่างปตท.กับRPCนั้นยังอยู่ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ คงต้องปล่อยเป็นไปตามกฎหมายและสัญญาที่ทำไว้