จากการพยายามสอบถามเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ใกล้ชิดว่า การชูยุทธศาสตร์ในการกำหนดเป้าหมาย “เพื่อการปฏิรูปการเมือง” (อีกครั้ง) และการกำหนดยุทธวิธีโดยการ Vote No ภายใต้การชี้นำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อวาระการเลือกที่จะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ แต่ละคนมีความคิดเห็นกันอย่างไร หลายๆ คนบอกว่ามันเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล หลายๆ คนบอกว่ามันไม่ใช่วิธีการและเป้าหมายของความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็มีหลายๆ คนรวมทั้งผู้เขียนเองบอกว่าเราเห็นด้วยกับ Vote No เพราะเรารู้สึกว่ามันคือสำนึกลึกๆ ของการมีสำนึกในระบอบประชาธิปไตย ที่เราไม่ปฏิเสธทั้งรูปแบบ วิธีการและเป้าหมายของ “การเลือกตั้ง” ว่ามันคือกลไกที่ดี ที่เลวน้อยเท่าที่มนุษย์คิดออกในการคัดสรรหาผู้ปกครองของตัวเอง ภายใต้เป้าหมายที่ว่า เราต้องการการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และพวกเราก็ไปสู่คูหาในวันหย่อนบัตรเลือกตั้งทุกครั้งไม่เคยขาด
หากแต่เรากาในช่องไม่ประสงค์จะเลือกใครหรือ Vote No ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่จะมาบอกว่าไม่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยคงไม่ได้ เพราะสำนึกของความเป็นประชาธิปไตยของเรายังเต็มเปี่ยม และพร้อมยอมรับผู้ปกครองที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาโดยคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ยอมเสียสิทธิของตัวเองที่จะลุกขึ้นมาสู้หรือต่อกรกับผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย ที่เราเห็นว่าเขาทำผิด ทั้งโดยการละเมิดสิทธิของเราหรือไม่รักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อคนส่วนใหญ่และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศเรากำหนดให้ใช้รูปแบบการเมืองการปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ที่มีการออกแบบกลไกในการบริหารการปกครองออกเป็นส่วนต่างๆ ไม่ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะลงตัวและไม่ได้เลวร้ายขี้เหล่อะไรมาก เพราะประเทศอื่นๆ ที่เอาระบอบนี้ไปใช้ก็สามารถนำพา พัฒนาประเทศของตัวเองให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเป็นอยู่ที่ดี มีการกระจายผลประโยชน์ มีกลไกดูแลผู้ที่อ่อนแอและด้อยโอกาส มีความเป็นธรรม มีกลไกในการจัดระเบียบในส่วนต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาของสังคม ไม่ว่าปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง การเอารัดเอาเปรียบ การก่ออาชญากรรม ฯลฯ
คำถามจึงมีว่าทำไมเราจึงเห็นด้วยกับยุทธวิธีในการ Vote No ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ คำตอบง่ายๆ และตรงไปตรงมาก็คือ เรา Vote No มาทุกครั้งของการเลือกตั้งใหญ่ Vote No มาก่อนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะหยิบยกมันขึ้นมาให้เป็นยุทธวิธีของการต่อสู้ในครั้งนี้ Vote No ก็เพราะว่าเราจำยอมรับเพียงรูปแบบที่มีอยู่และเข้าใจได้ว่ามันเป็นพัฒนาการทางการเมืองอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ในแง่ของเนื้อหา วิธีการและประสิทธิภาพในการนำระบอบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในการปกครองของประเทศที่เป็นอยู่ ไม่อาจจะยอมรับได้ว่ามันคือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่เราใฝ่หาและหวังเอาเป็นที่พึ่งได้
รูปธรรมของปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงและลงรายละเอียดขยายความบนเวทีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าพฤติกรรมและความเป็นมาในอดีตของนักการเมือง (ส่วนใหญ่) ที่ใช้สถานะทางการเมืองเพื่ออาชีพ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะพรรคพวกญาติโกโหติกาของตัวเอง ประกอบอาชีพที่ทำร้ายทำลายสังคม ค้าของเถื่อน ตั้งซ่องตั้งบ่อน อาบอบนวด ใช้ตำแหน่งทุจริตคอร์รัปชันทั้งตามน้ำและรีดไถเปอร์เซ็นต์จากผู้รับเหมา ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลคุกคามข่มขู่เอารัดเอาเปรียบหาผลประโยชน์จากประชาชนผู้อ่อนแอ สร้างระบบอุปถัมภ์ค้ำชูที่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นตัวตั้ง ฯลฯ
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่เป็นอยู่ ก็ล้วนเกิดจากการรวมกลุ่มกันของผู้ได้เปรียบและมีโอกาสในสังคม ที่อาศัยกรอบหรือเค้าโครงของระบอบประชาธิปไตย เพื่ออาศัยความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐและยึดกุมการบริหารจัดการรัฐ พรรคการเมืองจึงทำหน้าที่หลักเพียงปกป้องผลประโยชน์หรือหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนที่มารวมกันและเรียกกลุ่มก้อนของตัวเองว่า “พรรคการเมือง” เพื่อให้เข้าเกณฑ์ของระบอบประชาธิปไตย แต่จิตวิญญาณและเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตย ถูดกดทับ บิดเบือน เบี่ยงเบน เลี่ยงที่จะพัฒนามันไปข้างหน้า ชะลอแต่ละเรื่องที่สำคัญๆ ไว้ให้ช้าที่สุดเท่าที่จะนานได้
เครื่องมือดีๆ ของกลไกที่จะต้องผลักออกมาใช้โดยผ่านกลไกที่เรียกว่ารัฐสภา คือกฎหมายต่างๆ เพื่อพัฒนาความอยู่ดีกินดีของประชาชนหรือสร้างความเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคทั้งในแง่ของปัจจัยการผลิต การกระจายผลประโยชน์สู่คนส่วนใหญ่ จึงไม่เคยบังเกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ผ่านมาส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการขัดกันในผลประโยชน์ หรือช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์กันในระหว่างกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ที่รวมตัวกันในนามว่ากลุ่มธุรกิจ ในนามพรรคการเมือง หรือกลุ่มบุคคลที่เป็นกลไกรัฐที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็งมีกองกำลังและอาวุธอยู่ในมือคือเหล่าตำรวจหรือทหารต่างๆ เท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงที่หยิบยกผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาเป็นเป้าหมาย ยังไม่บังเกิดแล้วพวกเราจะไปกลัวอะไรกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเราต่างต้องการการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งในส่วนของตัวนักการเมือง พรรคการเมืองและกลไกต่างๆ ที่จะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้สามารถตอบสนองในการแก้ไขปัญหาและการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่มีเป้าหมายเพื่อคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้ง เปลี่ยนจากประชาธิปไตยจอมปลอมเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ทั้งรูปแบบ เนื้อหาและมีจิตวิญญาณ
Vote No ในอดีตที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นพลังเงียบ พลังแฝง พลังซ่อนรูป ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหมู่คน หมู่คนผู้ที่เคารพในตัวเอง เพื่อตอบสนองและรักษาไว้ซึ่งความรู้สึกและจิตใจของตัวเองไว้ เพื่อรักษาจิตใจที่เคารพและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง นั่นก็หมายถึงว่าที่ผ่านมาแม้การ Vote No จะเป็นเสียงส่วนน้อย ที่ซุกซ่อนตัวกระจัดกระจายกัน แต่ทุกการเคลื่อนไหวเพื่อนำพาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ก้าวเดินไปข้างหน้า พลังเงียบ พลังแฝงที่กระจัดกระจายซุกซ่อนตัวกันอยู่ทั่วทุกสารทิศ พลังของคนที่ Vote No ก็มักจะอีกหนึ่งกลุ่มคนที่มารวมกันและเป็นหัวหอกของการขับเคลื่อนเสมอ
Vote No จึงเป็นทั้งวิธีการและจินตนาการ เป็นวิธีการก็ตรงที่เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงพลังที่เคยเงียบ และยอมรับในกติกาที่มีอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะหยิ่งในเกียรติและยืนหยัดในสิทธิของตัวเอง หากเสียงส่วนใหญ่กำเริบและละเมิดต่อสิทธิของตัวเองและผลประโยชน์ของส่วนรวมก็พร้อมจะลุกขึ้นมาสู้ยิบตาแม้จะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ตาม
Vote No ในแง่ของจินตนาการ ก็คือจินตนาการหรือจินตภาพของสังคมที่ดีงามที่เราใฝ่ฝันว่าจะต้องเกิดขึ้น แต่การเกิดขึ้นหรือให้ได้มาประวัติศาสตร์สอนเราไว้ว่า เราจะต้องลงมือกระทำตามความคิดความเชื่อ ไม่ใช่งอมืองอเท้าเฝ้ารอคอย เมื่อใดที่ความคิดความเชื่อของเราสอดคล้องกับความถูกต้องและชอบธรรม สิ่งนั้นจะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจจะหลังการเลือกตั้งในครั้งนี้และยุทธการ Vote No ได้แทรกซึมและขยายไปถึงทุกความรู้สึกของผู้คนในสังคมนี้ร่วมกัน ว่าประเทศชาติของเราในวันนี้ หากจะสร้างสังคมที่ดีงามไว้ให้ลูกหลาน การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจะต้องเกิดขึ้นและเป็นสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด Vote No คือสัญญาณเรียกแถวและจัดทัพเหล่าทหารกล้าของภาคประชาชน.
หากแต่เรากาในช่องไม่ประสงค์จะเลือกใครหรือ Vote No ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่จะมาบอกว่าไม่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยคงไม่ได้ เพราะสำนึกของความเป็นประชาธิปไตยของเรายังเต็มเปี่ยม และพร้อมยอมรับผู้ปกครองที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาโดยคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ยอมเสียสิทธิของตัวเองที่จะลุกขึ้นมาสู้หรือต่อกรกับผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย ที่เราเห็นว่าเขาทำผิด ทั้งโดยการละเมิดสิทธิของเราหรือไม่รักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อคนส่วนใหญ่และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศเรากำหนดให้ใช้รูปแบบการเมืองการปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ที่มีการออกแบบกลไกในการบริหารการปกครองออกเป็นส่วนต่างๆ ไม่ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะลงตัวและไม่ได้เลวร้ายขี้เหล่อะไรมาก เพราะประเทศอื่นๆ ที่เอาระบอบนี้ไปใช้ก็สามารถนำพา พัฒนาประเทศของตัวเองให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเป็นอยู่ที่ดี มีการกระจายผลประโยชน์ มีกลไกดูแลผู้ที่อ่อนแอและด้อยโอกาส มีความเป็นธรรม มีกลไกในการจัดระเบียบในส่วนต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาของสังคม ไม่ว่าปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง การเอารัดเอาเปรียบ การก่ออาชญากรรม ฯลฯ
คำถามจึงมีว่าทำไมเราจึงเห็นด้วยกับยุทธวิธีในการ Vote No ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ คำตอบง่ายๆ และตรงไปตรงมาก็คือ เรา Vote No มาทุกครั้งของการเลือกตั้งใหญ่ Vote No มาก่อนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะหยิบยกมันขึ้นมาให้เป็นยุทธวิธีของการต่อสู้ในครั้งนี้ Vote No ก็เพราะว่าเราจำยอมรับเพียงรูปแบบที่มีอยู่และเข้าใจได้ว่ามันเป็นพัฒนาการทางการเมืองอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ในแง่ของเนื้อหา วิธีการและประสิทธิภาพในการนำระบอบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในการปกครองของประเทศที่เป็นอยู่ ไม่อาจจะยอมรับได้ว่ามันคือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่เราใฝ่หาและหวังเอาเป็นที่พึ่งได้
รูปธรรมของปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงและลงรายละเอียดขยายความบนเวทีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าพฤติกรรมและความเป็นมาในอดีตของนักการเมือง (ส่วนใหญ่) ที่ใช้สถานะทางการเมืองเพื่ออาชีพ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะพรรคพวกญาติโกโหติกาของตัวเอง ประกอบอาชีพที่ทำร้ายทำลายสังคม ค้าของเถื่อน ตั้งซ่องตั้งบ่อน อาบอบนวด ใช้ตำแหน่งทุจริตคอร์รัปชันทั้งตามน้ำและรีดไถเปอร์เซ็นต์จากผู้รับเหมา ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลคุกคามข่มขู่เอารัดเอาเปรียบหาผลประโยชน์จากประชาชนผู้อ่อนแอ สร้างระบบอุปถัมภ์ค้ำชูที่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นตัวตั้ง ฯลฯ
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่เป็นอยู่ ก็ล้วนเกิดจากการรวมกลุ่มกันของผู้ได้เปรียบและมีโอกาสในสังคม ที่อาศัยกรอบหรือเค้าโครงของระบอบประชาธิปไตย เพื่ออาศัยความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐและยึดกุมการบริหารจัดการรัฐ พรรคการเมืองจึงทำหน้าที่หลักเพียงปกป้องผลประโยชน์หรือหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนที่มารวมกันและเรียกกลุ่มก้อนของตัวเองว่า “พรรคการเมือง” เพื่อให้เข้าเกณฑ์ของระบอบประชาธิปไตย แต่จิตวิญญาณและเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตย ถูดกดทับ บิดเบือน เบี่ยงเบน เลี่ยงที่จะพัฒนามันไปข้างหน้า ชะลอแต่ละเรื่องที่สำคัญๆ ไว้ให้ช้าที่สุดเท่าที่จะนานได้
เครื่องมือดีๆ ของกลไกที่จะต้องผลักออกมาใช้โดยผ่านกลไกที่เรียกว่ารัฐสภา คือกฎหมายต่างๆ เพื่อพัฒนาความอยู่ดีกินดีของประชาชนหรือสร้างความเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคทั้งในแง่ของปัจจัยการผลิต การกระจายผลประโยชน์สู่คนส่วนใหญ่ จึงไม่เคยบังเกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ผ่านมาส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการขัดกันในผลประโยชน์ หรือช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์กันในระหว่างกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ที่รวมตัวกันในนามว่ากลุ่มธุรกิจ ในนามพรรคการเมือง หรือกลุ่มบุคคลที่เป็นกลไกรัฐที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็งมีกองกำลังและอาวุธอยู่ในมือคือเหล่าตำรวจหรือทหารต่างๆ เท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงที่หยิบยกผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาเป็นเป้าหมาย ยังไม่บังเกิดแล้วพวกเราจะไปกลัวอะไรกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเราต่างต้องการการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งในส่วนของตัวนักการเมือง พรรคการเมืองและกลไกต่างๆ ที่จะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้สามารถตอบสนองในการแก้ไขปัญหาและการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่มีเป้าหมายเพื่อคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้ง เปลี่ยนจากประชาธิปไตยจอมปลอมเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ทั้งรูปแบบ เนื้อหาและมีจิตวิญญาณ
Vote No ในอดีตที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นพลังเงียบ พลังแฝง พลังซ่อนรูป ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหมู่คน หมู่คนผู้ที่เคารพในตัวเอง เพื่อตอบสนองและรักษาไว้ซึ่งความรู้สึกและจิตใจของตัวเองไว้ เพื่อรักษาจิตใจที่เคารพและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง นั่นก็หมายถึงว่าที่ผ่านมาแม้การ Vote No จะเป็นเสียงส่วนน้อย ที่ซุกซ่อนตัวกระจัดกระจายกัน แต่ทุกการเคลื่อนไหวเพื่อนำพาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ก้าวเดินไปข้างหน้า พลังเงียบ พลังแฝงที่กระจัดกระจายซุกซ่อนตัวกันอยู่ทั่วทุกสารทิศ พลังของคนที่ Vote No ก็มักจะอีกหนึ่งกลุ่มคนที่มารวมกันและเป็นหัวหอกของการขับเคลื่อนเสมอ
Vote No จึงเป็นทั้งวิธีการและจินตนาการ เป็นวิธีการก็ตรงที่เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงพลังที่เคยเงียบ และยอมรับในกติกาที่มีอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะหยิ่งในเกียรติและยืนหยัดในสิทธิของตัวเอง หากเสียงส่วนใหญ่กำเริบและละเมิดต่อสิทธิของตัวเองและผลประโยชน์ของส่วนรวมก็พร้อมจะลุกขึ้นมาสู้ยิบตาแม้จะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ตาม
Vote No ในแง่ของจินตนาการ ก็คือจินตนาการหรือจินตภาพของสังคมที่ดีงามที่เราใฝ่ฝันว่าจะต้องเกิดขึ้น แต่การเกิดขึ้นหรือให้ได้มาประวัติศาสตร์สอนเราไว้ว่า เราจะต้องลงมือกระทำตามความคิดความเชื่อ ไม่ใช่งอมืองอเท้าเฝ้ารอคอย เมื่อใดที่ความคิดความเชื่อของเราสอดคล้องกับความถูกต้องและชอบธรรม สิ่งนั้นจะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจจะหลังการเลือกตั้งในครั้งนี้และยุทธการ Vote No ได้แทรกซึมและขยายไปถึงทุกความรู้สึกของผู้คนในสังคมนี้ร่วมกัน ว่าประเทศชาติของเราในวันนี้ หากจะสร้างสังคมที่ดีงามไว้ให้ลูกหลาน การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจะต้องเกิดขึ้นและเป็นสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด Vote No คือสัญญาณเรียกแถวและจัดทัพเหล่าทหารกล้าของภาคประชาชน.