นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ระบุว่าวันนี้ จะมอบหมายให้ทนายความไปแจ้งความกล่าวหาว่าตนยักยอกเงินพรรคการเมืองใหม่ จำนวน 6.5 แสนบาท อีกทั้งก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ ยังให้สัมภาษณ์บิดเบือน กล่าวหาตนมาหลายครั้ง รวมทั้งกรณีที่บืดเบือนว่าตนได้ลาออกจากพรรค และเป็นอดีตเลขาธิการ พรรคไปแล้วนั้น ถือว่านายสมศักดิ์ จงใจบิดเบือนพยายามให้ข่าวเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงของตน ด้วยการบิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จ
โดยเฉพาะการให้เหรัญญิกคนสนิท บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่ตนได้แจกแจง และรายงานยอดขายบัตรระดมทุนพรรค ด้วยการคืนบัตรที่ขายไม่ได้ และนำส่งเงินค่าบัตรที่ทยอยรับมาคืนพรรค ซึ่งมีหลักฐานการเซ็นต์รับของเหรัญญิกทุกครั้ง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้และมีรายงานการประชุมกรรมการบริหารพรรคยืนยันชัดเจน แต่นายสมศักดิ์ กลับร่วมมือกับเหรัญญิก บิดเบือนข้อเท็จจริง ตนจึงต้องแจ้งความดำเนินคดีกับนายสมศักดิ์ ข้อหาหมิ่นประมาทที่กองปราบปราม ในเวลา 11.00 น. วันนี้ (3 พ.ค.) หลังจากนั้นจะมอบหมายให้ทนายความแจ้งความกลับ ข้อหาแจ้งความเท็จอีกคดีหนึ่ง
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า นายสมศักดิ์ พยายามบิดเบือนข้อมูล เพื่อหวังผลให้สังคมเข้าใจผิด โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ว่า ตนลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแล้ว ทั้งที่ข้อเท็จจริงตนไม่เคยยื่นใบลาออก และนายสมศักดิ์ ก็รายงานเท็จต่อ กกต. แต่ไม่สามารถนำใบลาออกของตนไปยืนยันได้ จึงต้องถอนเรื่องในภายหลัง ซึ่งตนจะนำพยานเอกสารโชว์กับสื่อมวลชนว่า นายสมศักดิ์ โกหกบิดเบือนอย่างไรบ้าง และจะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะนายสมศักดิ์ บิดเบือน และกล่าวเท็จจนเคยตัว
**กกต.ชี้ผู้สมัคร กมม.ไม่โมฆะ
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต.ได้ประชุมเพื่อประกาศรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ที่ขาดคุณสมบัติเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่ไม่มีชื่อในประกาศของกกต. หรือผู้ไม่มีสิทธิลงสมัคร ขอให้พิจารณาดูว่า หากเห็นว่าตนเองเป็นผู้มีคุณสมบัติในการลงสมัคร ก็ขอให้รีบไปดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่กกต.ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง จะเป็นผู้พิจารณาว่าให้เป็นผู้มีคุณสมบัติลงสมัครหรือไม่ หากศาลฎีกาเห็นว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ กกต.ก็จะเพิ่มชื่อให้ ส่วนส.ส.แบ่งเขตเลือกตั้งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกกต. ซึ่งกกต.ประจำเขต จะเป็นผู้พิจารณา
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองใหม่ ที่มีผู้มาร้องคัดค้านว่าการส่งผู้สมัครไม่ผ่านมติกรรมการบริหารพรรค ว่า ทางกกต.ได้ประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งแล้ว เนื่องจากใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 40 ระบุว่า การไม่ปฏิบัติตามมาตรา 37 มาตรา 38 หรือ มาตรา 39 ของพรรคการเมือง ไม่มีผลกระทบต่อการสมัคร และการได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ของสมาชิก ซึ่งพรรคการเมืองนั้นส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้ง
ดังนั้นการที่พรรคการเมืองใหม่ จะส่งผู้สมัคร ส.ส. หากผ่านความเห็นชอบของกรรมการบริหารพรรค ก็ไม่กระทบกับการที่จะได้รับเลือกให้ลงสมัคร ส่วนจะขาดคุณสมบัติที่ไม่กระทำตามมติที่ประชุมใหญ่ของพรรคนั้น ถือเป็นเรื่องของพรรคที่จะดำเนินการ หากผู้ใดที่พรรคส่งลงสมัครอย่างถูกต้อง และทางกกต.ได้ประกาศรายชื่อไปแล้ว ทางกกต.ก็ยินดีรับสมัคร
นายประพันธ์ กล่าวว่า ผู้ที่ถูก กกต.ตัดสิทธิ์ลงสมัคร ส่วนใหญ่อยู่ในกรณีที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผ่านมา หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างไม่ถูกต้อง เป็นบุคคลล้มละลาย
โดยเฉพาะการให้เหรัญญิกคนสนิท บิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่ตนได้แจกแจง และรายงานยอดขายบัตรระดมทุนพรรค ด้วยการคืนบัตรที่ขายไม่ได้ และนำส่งเงินค่าบัตรที่ทยอยรับมาคืนพรรค ซึ่งมีหลักฐานการเซ็นต์รับของเหรัญญิกทุกครั้ง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้และมีรายงานการประชุมกรรมการบริหารพรรคยืนยันชัดเจน แต่นายสมศักดิ์ กลับร่วมมือกับเหรัญญิก บิดเบือนข้อเท็จจริง ตนจึงต้องแจ้งความดำเนินคดีกับนายสมศักดิ์ ข้อหาหมิ่นประมาทที่กองปราบปราม ในเวลา 11.00 น. วันนี้ (3 พ.ค.) หลังจากนั้นจะมอบหมายให้ทนายความแจ้งความกลับ ข้อหาแจ้งความเท็จอีกคดีหนึ่ง
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า นายสมศักดิ์ พยายามบิดเบือนข้อมูล เพื่อหวังผลให้สังคมเข้าใจผิด โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ว่า ตนลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแล้ว ทั้งที่ข้อเท็จจริงตนไม่เคยยื่นใบลาออก และนายสมศักดิ์ ก็รายงานเท็จต่อ กกต. แต่ไม่สามารถนำใบลาออกของตนไปยืนยันได้ จึงต้องถอนเรื่องในภายหลัง ซึ่งตนจะนำพยานเอกสารโชว์กับสื่อมวลชนว่า นายสมศักดิ์ โกหกบิดเบือนอย่างไรบ้าง และจะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะนายสมศักดิ์ บิดเบือน และกล่าวเท็จจนเคยตัว
**กกต.ชี้ผู้สมัคร กมม.ไม่โมฆะ
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต.ได้ประชุมเพื่อประกาศรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ที่ขาดคุณสมบัติเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่ไม่มีชื่อในประกาศของกกต. หรือผู้ไม่มีสิทธิลงสมัคร ขอให้พิจารณาดูว่า หากเห็นว่าตนเองเป็นผู้มีคุณสมบัติในการลงสมัคร ก็ขอให้รีบไปดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่กกต.ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง จะเป็นผู้พิจารณาว่าให้เป็นผู้มีคุณสมบัติลงสมัครหรือไม่ หากศาลฎีกาเห็นว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ กกต.ก็จะเพิ่มชื่อให้ ส่วนส.ส.แบ่งเขตเลือกตั้งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกกต. ซึ่งกกต.ประจำเขต จะเป็นผู้พิจารณา
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองใหม่ ที่มีผู้มาร้องคัดค้านว่าการส่งผู้สมัครไม่ผ่านมติกรรมการบริหารพรรค ว่า ทางกกต.ได้ประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งแล้ว เนื่องจากใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 40 ระบุว่า การไม่ปฏิบัติตามมาตรา 37 มาตรา 38 หรือ มาตรา 39 ของพรรคการเมือง ไม่มีผลกระทบต่อการสมัคร และการได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ของสมาชิก ซึ่งพรรคการเมืองนั้นส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้ง
ดังนั้นการที่พรรคการเมืองใหม่ จะส่งผู้สมัคร ส.ส. หากผ่านความเห็นชอบของกรรมการบริหารพรรค ก็ไม่กระทบกับการที่จะได้รับเลือกให้ลงสมัคร ส่วนจะขาดคุณสมบัติที่ไม่กระทำตามมติที่ประชุมใหญ่ของพรรคนั้น ถือเป็นเรื่องของพรรคที่จะดำเนินการ หากผู้ใดที่พรรคส่งลงสมัครอย่างถูกต้อง และทางกกต.ได้ประกาศรายชื่อไปแล้ว ทางกกต.ก็ยินดีรับสมัคร
นายประพันธ์ กล่าวว่า ผู้ที่ถูก กกต.ตัดสิทธิ์ลงสมัคร ส่วนใหญ่อยู่ในกรณีที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผ่านมา หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างไม่ถูกต้อง เป็นบุคคลล้มละลาย
