ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังจัดให้อีกดอก ประชานิยมผ่านตู้เอทีเอ็ม 3 แบงก์รัฐ "ออมสิน-ธอส.-ไอแบงก์" ฟรีค่าธรรมเนียมทุกรายการ 18 มิ.ย.นี้ หมดเขตสิ้นปี “อารีพงศ์” ระบุประเมินโครงการก่อนสิ้นปีหวังเป็นทางเลือกระยะยาวให้ประชาชนลดต้นทุนดำเนินการร่วมระหว่างแบงก์รัฐ เตรียมดึง ธ.ก.ส.เข้าร่วมโครงการ ตัวแทนประชาชนยื่นฟ้อง “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง และพวก อ้างละเว้นปฏิบัติหน้าที่มีมติเห็นชอบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เอื้อประโยชน์ธนาคารพาณิชย์ มีรายได้เพิ่ม 84,000 ล้านบาท แต่กระทบผู้ส่งออกสูญเสียรายได้รวม 3 แสนล้านบาท ศาลรับคำฟ้อง รอฟังคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่อีกครั้ง
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในโครงการ “เชื่อมโยงบริการทางการเงินระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ” หรือ SFI Network ประกอบไปด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยหรือไอแบงก์ เพื่อเชื่อมโยงบริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้กับประชาชนได้ใช้บริการอย่างทั่วถึง
นายอารีพงศ์กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายให้ประชาชนที่เป็นลูกค้าของธนาคารเฉพาะกิจทั้ง 3 แห่งสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกและครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศโดยคิดค่าบริการจากลูกค้าให้น้อยที่สุด โดยในช่วงเริ่มโครงการจะยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมบริการผ่านตู้เอทีเอ็มทุกประเภทของธนาคารทั้ง 3 แห่งที่มีจำนวนประมาณ 4 พันตู้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.-31ธ.ค.2554 โดยหลังจากนั้นจะพิจารณาความเหมาะสมของโครงการอีกครั้ง
“โครงการนี้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนที่ไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมทำรายการต่างๆ จากธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เข้าไปบิดเบือนกลไกการแข่งขันแต่อย่างใด เพราะในปัจจุบันก็มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งไม่คิดค่าธรรมเนียมบริการเอทีเอ็มเช่นเดียวกัน จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชน”
นายอารีพงศ์กล่าวว่า การริเริ่มโครงการนี้นอกจากประชาชนจะได้ประโยชน์แล้วเครือข่ายแบงก์รัฐทั้งหมดก็จะประหยัดต้นทุนในการดำเนินการด้านอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องลงทุนซ้ำซ้อนเกิดภาระต่องบประมาณ ซึ่งในอนาคตจะดึงแบงก์รัฐที่เหลือคือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาร่วมโครงการด้วยเพื่อให้เกิดการประหยัดทางขนาดมากขึ้นแต่ในขณะนี้ธ.ก.ส.ยังอยู่ในระหว่าการปรับระบบเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมโครงการเช่นกัน
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ในเบื้องต้นเฉพาะลูกค้าแบงก์ออมสินกว่า 15 ล้านบัญชีหากเพียงแค่ 1 ใน 3 หรือประมาณ 5 ล้านบัญชีมาทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตก็จะประหยัดค่าธรรมเนียมแล้วกว่า 400 ล้านบาทและประหยัดค่าโอนได้อีกมาก ซึ่งแม้ว่าธนาคารจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้แต่ในฐานะเป็นธนาคารของรัฐก็ว่าได้ทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนไม่ต้องคำนึงถึงกำไรมากเหมือนแบงก์พาณิชย์
นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ไอแบงก์กล่าวว่า ไอแบงก์ในฐานะที่มีจุดแข็งใน 5 จังหวัดภาคใต้จะเข้ามาเสริมในพื้นที่มีธนาคารออมสินและธอส.เข้าไม่ถึงลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการลงทุนและให้ลูกค้าของธนาคารทั้งสามแห่งทั่วประเทศสามารถเชื่อมโยงการใช้บริการได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า จะเพิ่มปริมาณบัตรเอทีเอ็มขึ้นจาก 1 แสนเป็น 2 แสนใบในสิ้นปีนี้ และจะขยายบัญชีเงินฝากให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการบ้านหลังแรกทุกรายและได้บัตรเดบิตโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมซึ่งจะทำให้เห็นว่าได้ประโยชน์จากการทำเอทีเอ็มพูลของแบงก์รัฐในครั้งนี้และสามารถโอนเงินผ่าน 3 แบงก์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการแต่อย่างใด.
**ฟ้องกรณ์ละเว้นปฎิบัติหน้าที่
ขณะเดียวกัน วานนี้ (31 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายเรืองศักดิ์ เจริญผล และ พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ในฐานะประชาชน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, กระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 จำเลยได้ร่วมกันลงมติโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยมิได้ให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วม ไม่ศึกษาวิเคราะห์ให้รอบคอบ ไม่ควบคุมการไหลเข้าไหลออกของเงินตราต่างประเทศในการเข้ามาเก็งกำไร ไม่กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง แต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ธนาคารและนักลงทุนตราสารหนี้ทางอ้อม ทำให้ธนาคารพาณิชย์ 12 แห่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 84,000 ล้านบาท แต่ผู้ส่งออกสูญเสียรายได้รวม 300,000 ล้านบาท
เบื้องต้นศาลรับคำฟ้องไว้ เพื่อมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในโครงการ “เชื่อมโยงบริการทางการเงินระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ” หรือ SFI Network ประกอบไปด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยหรือไอแบงก์ เพื่อเชื่อมโยงบริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้กับประชาชนได้ใช้บริการอย่างทั่วถึง
นายอารีพงศ์กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายให้ประชาชนที่เป็นลูกค้าของธนาคารเฉพาะกิจทั้ง 3 แห่งสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกและครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศโดยคิดค่าบริการจากลูกค้าให้น้อยที่สุด โดยในช่วงเริ่มโครงการจะยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมบริการผ่านตู้เอทีเอ็มทุกประเภทของธนาคารทั้ง 3 แห่งที่มีจำนวนประมาณ 4 พันตู้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.-31ธ.ค.2554 โดยหลังจากนั้นจะพิจารณาความเหมาะสมของโครงการอีกครั้ง
“โครงการนี้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนที่ไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมทำรายการต่างๆ จากธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เข้าไปบิดเบือนกลไกการแข่งขันแต่อย่างใด เพราะในปัจจุบันก็มีธนาคารพาณิชย์บางแห่งไม่คิดค่าธรรมเนียมบริการเอทีเอ็มเช่นเดียวกัน จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชน”
นายอารีพงศ์กล่าวว่า การริเริ่มโครงการนี้นอกจากประชาชนจะได้ประโยชน์แล้วเครือข่ายแบงก์รัฐทั้งหมดก็จะประหยัดต้นทุนในการดำเนินการด้านอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องลงทุนซ้ำซ้อนเกิดภาระต่องบประมาณ ซึ่งในอนาคตจะดึงแบงก์รัฐที่เหลือคือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาร่วมโครงการด้วยเพื่อให้เกิดการประหยัดทางขนาดมากขึ้นแต่ในขณะนี้ธ.ก.ส.ยังอยู่ในระหว่าการปรับระบบเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมโครงการเช่นกัน
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ในเบื้องต้นเฉพาะลูกค้าแบงก์ออมสินกว่า 15 ล้านบัญชีหากเพียงแค่ 1 ใน 3 หรือประมาณ 5 ล้านบัญชีมาทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตก็จะประหยัดค่าธรรมเนียมแล้วกว่า 400 ล้านบาทและประหยัดค่าโอนได้อีกมาก ซึ่งแม้ว่าธนาคารจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้แต่ในฐานะเป็นธนาคารของรัฐก็ว่าได้ทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนไม่ต้องคำนึงถึงกำไรมากเหมือนแบงก์พาณิชย์
นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ไอแบงก์กล่าวว่า ไอแบงก์ในฐานะที่มีจุดแข็งใน 5 จังหวัดภาคใต้จะเข้ามาเสริมในพื้นที่มีธนาคารออมสินและธอส.เข้าไม่ถึงลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการลงทุนและให้ลูกค้าของธนาคารทั้งสามแห่งทั่วประเทศสามารถเชื่อมโยงการใช้บริการได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า จะเพิ่มปริมาณบัตรเอทีเอ็มขึ้นจาก 1 แสนเป็น 2 แสนใบในสิ้นปีนี้ และจะขยายบัญชีเงินฝากให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการบ้านหลังแรกทุกรายและได้บัตรเดบิตโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมซึ่งจะทำให้เห็นว่าได้ประโยชน์จากการทำเอทีเอ็มพูลของแบงก์รัฐในครั้งนี้และสามารถโอนเงินผ่าน 3 แบงก์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการแต่อย่างใด.
**ฟ้องกรณ์ละเว้นปฎิบัติหน้าที่
ขณะเดียวกัน วานนี้ (31 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายเรืองศักดิ์ เจริญผล และ พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ในฐานะประชาชน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, กระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 จำเลยได้ร่วมกันลงมติโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยมิได้ให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วม ไม่ศึกษาวิเคราะห์ให้รอบคอบ ไม่ควบคุมการไหลเข้าไหลออกของเงินตราต่างประเทศในการเข้ามาเก็งกำไร ไม่กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง แต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ธนาคารและนักลงทุนตราสารหนี้ทางอ้อม ทำให้ธนาคารพาณิชย์ 12 แห่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 84,000 ล้านบาท แต่ผู้ส่งออกสูญเสียรายได้รวม 300,000 ล้านบาท
เบื้องต้นศาลรับคำฟ้องไว้ เพื่อมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป