ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้อำนวยการ itd ชี้ท่องเที่ยวไทยยังหลงทาง กระแสตลาดเปลี่ยนเป็นกลุ่มนักเดินทางระยะใกล้ แต่แผนการนำเสนอขายสินค้ายังไม่ชัดเจน แนะศึกษาพฤติกรรมอย่างหนัก เพราะลูกค้ามีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่วนตลาดภายในประเทศ ต้องเริ่มขยับ แยกรายเซกเมนต์ ชี้ นโยบายหาเสียงพรรคหารเมืองอย่าแค่ขายฝันประชานิยมเรื่อง”ปรองดอง”
แต่ควรมีแผนให้ชัดเจนในเรื่องการทำงานร่วมกัน ด้านนายสมาคมโรงแรม เผยไทยรั้งบ๊วยราคาห้องพักต่ำสุดในเอเชีย
วานนี้(31 พ.ค.54) ในการประชุมสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้อำนวยการ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ itd ซึ่งได้รับเชิญบรรยานในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางการท่องเที่ยวหลังการเลือกตั้ง” กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มปรับเปลี่ยนจากตลาดระยะไกล(ลองฮอลล์) มาเป็นตลาดระยะใกล้(ชอตฮอลล์) มากขึ้น
คือประเทศในกลุ่มเอเชีย อาเซียน บราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศไทยยังขากการเตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากตลาดดังกล่าว ทั้งด้านการจัดทำกลยุทธ์ การกำหนดแผนงานและท่าทีที่แน่ชัดว่าประเทศไทยจะขายอะไรให้แก่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
“การจะทำตลาดนักท่องเที่ยวเอเชีย จีน และ อินเดีย ให้ได้ดี ต้องศึกษาตลาดให้ชัดเจน แยกตามพื้นที่ เพราะมีความแตกต่างกันทางด้านวัฒนธรรม จึงมีความหลากหลายมากกว่าตลาดลองฮอลล์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน วัฒธรรมจะคล้ายคลึงกัน”
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือตลาดโดเมสติก นับจากนี้ต่อไป ควร ให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบเซกเม้นต์ ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมานิยบมจับตลาดระดับกลาง กลุ่มมนุษย์เงินเดือน ใช้กลยุทธราคาและ ซีซั่นเป็นเกณฑ์ แต่ปัจจุบัน กลุ่มชนชั้นกลางของไทย ปรับเปลี่ยน เริ่มมีผู้ประกอบการใหม่ ที่ทำธุรกิจ เอสเอ็มอี นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆแยกตาม เพศ วัย
อาชีพ ช่วงอายุ ซึ่งนักท่องเที่ยวใหม่ๆเหล่านี้ จะสนใจเรื่องคุณภาพการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีระบบการจัดการคมนาคม โลจิสติก ด้านการท่องเที่ยวให้สออดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภค การจัดมาตรฐานด้านราคาและ คุณภาพ ซึ่ง
การแตกเซกเมนต์ของนักท่องเที่ยวภาคในประเทศของไทยนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดนักท่องเที่ยวต่างช่าติ แต่ยังมีขนาดตลาดที่เล็กกว่า ซึ่งผู้ประกอบการ และภาครัฐก็ควรให้ความสำคัญ เตรียมแผนรองรับได้แล้ว
***เรียกร้องท่าทีทำงานร่วมอย่าแค่ประชานิยมขายฝัน***
นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า รู้สึกดีใจ ที่ในการหาเสียงของพรรคการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ หลายพรรคได้นำนโยบายด้านการท่องเที่ยวมาเป็นจุดขาย ซึ่งต่างจากอดีต ที่จะเน้นเรื่องการส่งออก เป็นหลัก แต่สิ่งใหญ่ที่สุด ต้องการให้ประชาชนคนไทย และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกคน
อย่าปล่อยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นแค่พื้นที่ของการแสดงนโยบาบประชานิยม เมื่อจบการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ก็กลับเข้าสู่วงจรเดิม ดังนั้น จึงควรเรียกร้องใน 2 ประเด็น หลักแก่พรรคการเมือง ที่กำลังหาเสียง คือ 1. ต้องการให้ประชาชนเรียกร้องการนำเสนอท่าทีวิธีแสดงการทำงานร่วมกัน อย่านำเสนอแค่เพียงคำพูดว่า”ปรองดอง” เพราะเชื่อว่า โอกาสที่พรรคการเมืองเดียว
จะเข้ามาทำงานและเปลี่ยนแปลงประเทศได้ภายใน 5 ปี คงเป็นไปไม่ได้ จึงควรมีท่าทีของการทำงานร่วมกันให้ชัดเจน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
2.การทำงานเป็นทีมเวิร์ค ของ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน ชุมชน และ ท้องถิ่น มีการนัดหารือ พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูล ด้วยบรรยากาศเป็นมิตร อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
“เทรนการทำงานร่วมกัน มีให้เห็นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งไทยก็ต้องเข้าสู่การทำงานรูปแบบนี้ เพราะการที่จะให้รัฐทำงานดูแลอุตสาหกรรรมท่องเที่ยวเพียงฝ่ายเดียวก็จะขาดประสิทธิภาพ หากไม่เป็นเจ้าภาพก็ขาดการเชื่อมต่อ หรือ เอกชนทำเพียงฝ่ายเดียว ก็คงไม่สำเร็จ เพราะ พื้นที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รัฐเป็นเจ้าของ และทศวรรตนี้เทรนดังกล่าวจะแรงและชัดขึ้น
เรื่อยๆ “
นอกจากนั้น เรื่องของแผนบริหารความเสี่ยงก็มีความสำคัญ ประเทศไทย ควร มีทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เฉลี่ยความเสี่ยงและ ซื้อความเสี่ยง เช่น การซื้อประกันภัย ในรูปแบบต่างๆ ก็ถือเป็นหนึ่งวิธีของการซื้อความเสี่ยง
“กรณีแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ แต่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพราะ ตึกส่วนใหญ่ มีประกันภัย ยังไม่นับรวมในส่วนของประกันภัย ทรัพย์สิน และ ประกันภัยสุขภาพ “ นายวีระศักดิ์ กล่าว
***ไทยรั้งท้ายต่ำสุดในอาเซียน***
ASTVผู้จัดการรายวัน - นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย หรือ ทีเอชเอ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาห้องพักในประเทศไทย ยังรั้งท้าย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียและอาเซียน ซึ่งจากการประชุมภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชีย มีรายงานว่า อัตราเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของไทยปีก่อน อยู่ที่ 50% รั้งท้ายทุกประเทศที่มีมากกว่า 60-70% ส่วน
ราคาห้องพักเฉลี่ย ทุกประเทศปรับดีขึ้น โดย สิงคโปร์ และอ่องกง มีราคาห้องพักเฉลี่ย คืนละ 250 ดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนประเทศไทย มีราคาเฉลี่ยที่กว่า 100 ดอลล่าร์สหรัฐเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะ จากความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ร่วมออกแสดงในงาน ITB และ งาน WTM มีการจัดโปรโมชั่น สูงเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ซื้อ 1 คืน แถม 1 คืน หรือ
จากเดิมฟรีอาหารเช้า ก็มาเพิ่มอีก 1 มื้อ คือกลางวัน หรือเย็นด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราเข้าพักโรงแรมทั่วประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 60%
***เสนอ 4 ข้อจี้รัฐบาลใหม่ทำ*****
ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิ.ย.54 ซึ่งสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟสต้า ได้จัดดีเบต เชิญ 5 พรรคการเมือง ร่วมชี้แจงนโยบายด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของ ทีเอชเอ เตรียมเสนอ 4 ประเด็นที่ต้องการให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลเร่งดำเนินการโดยด่วน ได้แก่ 1.การปราบปรามโรงแรมเถื่อน ให้มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามที่กฎหมายกำหนด 2. การจัดโซนนิ่งการลงทุนด้านโรงแรม
ให้เพียงพอระหว่างดีมานด์ กับซัพพลาย ป้องกันการโอเวอร์ซัพพลาย 3. ต้องการให้ เพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อมาดูแลงานด้านการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว และ 4. ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้ง ผู้มีความรู้ความสามารถ เข้ามาช่วยดูแลเอกชน ในเรื่องการเตรียมความพร้อม เปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
แต่ควรมีแผนให้ชัดเจนในเรื่องการทำงานร่วมกัน ด้านนายสมาคมโรงแรม เผยไทยรั้งบ๊วยราคาห้องพักต่ำสุดในเอเชีย
วานนี้(31 พ.ค.54) ในการประชุมสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้อำนวยการ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ itd ซึ่งได้รับเชิญบรรยานในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางการท่องเที่ยวหลังการเลือกตั้ง” กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มปรับเปลี่ยนจากตลาดระยะไกล(ลองฮอลล์) มาเป็นตลาดระยะใกล้(ชอตฮอลล์) มากขึ้น
คือประเทศในกลุ่มเอเชีย อาเซียน บราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศไทยยังขากการเตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากตลาดดังกล่าว ทั้งด้านการจัดทำกลยุทธ์ การกำหนดแผนงานและท่าทีที่แน่ชัดว่าประเทศไทยจะขายอะไรให้แก่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
“การจะทำตลาดนักท่องเที่ยวเอเชีย จีน และ อินเดีย ให้ได้ดี ต้องศึกษาตลาดให้ชัดเจน แยกตามพื้นที่ เพราะมีความแตกต่างกันทางด้านวัฒนธรรม จึงมีความหลากหลายมากกว่าตลาดลองฮอลล์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน วัฒธรรมจะคล้ายคลึงกัน”
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือตลาดโดเมสติก นับจากนี้ต่อไป ควร ให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบเซกเม้นต์ ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมานิยบมจับตลาดระดับกลาง กลุ่มมนุษย์เงินเดือน ใช้กลยุทธราคาและ ซีซั่นเป็นเกณฑ์ แต่ปัจจุบัน กลุ่มชนชั้นกลางของไทย ปรับเปลี่ยน เริ่มมีผู้ประกอบการใหม่ ที่ทำธุรกิจ เอสเอ็มอี นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆแยกตาม เพศ วัย
อาชีพ ช่วงอายุ ซึ่งนักท่องเที่ยวใหม่ๆเหล่านี้ จะสนใจเรื่องคุณภาพการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีระบบการจัดการคมนาคม โลจิสติก ด้านการท่องเที่ยวให้สออดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภค การจัดมาตรฐานด้านราคาและ คุณภาพ ซึ่ง
การแตกเซกเมนต์ของนักท่องเที่ยวภาคในประเทศของไทยนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดนักท่องเที่ยวต่างช่าติ แต่ยังมีขนาดตลาดที่เล็กกว่า ซึ่งผู้ประกอบการ และภาครัฐก็ควรให้ความสำคัญ เตรียมแผนรองรับได้แล้ว
***เรียกร้องท่าทีทำงานร่วมอย่าแค่ประชานิยมขายฝัน***
นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า รู้สึกดีใจ ที่ในการหาเสียงของพรรคการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ หลายพรรคได้นำนโยบายด้านการท่องเที่ยวมาเป็นจุดขาย ซึ่งต่างจากอดีต ที่จะเน้นเรื่องการส่งออก เป็นหลัก แต่สิ่งใหญ่ที่สุด ต้องการให้ประชาชนคนไทย และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกคน
อย่าปล่อยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นแค่พื้นที่ของการแสดงนโยบาบประชานิยม เมื่อจบการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ก็กลับเข้าสู่วงจรเดิม ดังนั้น จึงควรเรียกร้องใน 2 ประเด็น หลักแก่พรรคการเมือง ที่กำลังหาเสียง คือ 1. ต้องการให้ประชาชนเรียกร้องการนำเสนอท่าทีวิธีแสดงการทำงานร่วมกัน อย่านำเสนอแค่เพียงคำพูดว่า”ปรองดอง” เพราะเชื่อว่า โอกาสที่พรรคการเมืองเดียว
จะเข้ามาทำงานและเปลี่ยนแปลงประเทศได้ภายใน 5 ปี คงเป็นไปไม่ได้ จึงควรมีท่าทีของการทำงานร่วมกันให้ชัดเจน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
2.การทำงานเป็นทีมเวิร์ค ของ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน ชุมชน และ ท้องถิ่น มีการนัดหารือ พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูล ด้วยบรรยากาศเป็นมิตร อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
“เทรนการทำงานร่วมกัน มีให้เห็นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งไทยก็ต้องเข้าสู่การทำงานรูปแบบนี้ เพราะการที่จะให้รัฐทำงานดูแลอุตสาหกรรรมท่องเที่ยวเพียงฝ่ายเดียวก็จะขาดประสิทธิภาพ หากไม่เป็นเจ้าภาพก็ขาดการเชื่อมต่อ หรือ เอกชนทำเพียงฝ่ายเดียว ก็คงไม่สำเร็จ เพราะ พื้นที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รัฐเป็นเจ้าของ และทศวรรตนี้เทรนดังกล่าวจะแรงและชัดขึ้น
เรื่อยๆ “
นอกจากนั้น เรื่องของแผนบริหารความเสี่ยงก็มีความสำคัญ ประเทศไทย ควร มีทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เฉลี่ยความเสี่ยงและ ซื้อความเสี่ยง เช่น การซื้อประกันภัย ในรูปแบบต่างๆ ก็ถือเป็นหนึ่งวิธีของการซื้อความเสี่ยง
“กรณีแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ แต่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพราะ ตึกส่วนใหญ่ มีประกันภัย ยังไม่นับรวมในส่วนของประกันภัย ทรัพย์สิน และ ประกันภัยสุขภาพ “ นายวีระศักดิ์ กล่าว
***ไทยรั้งท้ายต่ำสุดในอาเซียน***
ASTVผู้จัดการรายวัน - นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย หรือ ทีเอชเอ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาห้องพักในประเทศไทย ยังรั้งท้าย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียและอาเซียน ซึ่งจากการประชุมภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชีย มีรายงานว่า อัตราเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของไทยปีก่อน อยู่ที่ 50% รั้งท้ายทุกประเทศที่มีมากกว่า 60-70% ส่วน
ราคาห้องพักเฉลี่ย ทุกประเทศปรับดีขึ้น โดย สิงคโปร์ และอ่องกง มีราคาห้องพักเฉลี่ย คืนละ 250 ดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนประเทศไทย มีราคาเฉลี่ยที่กว่า 100 ดอลล่าร์สหรัฐเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะ จากความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ร่วมออกแสดงในงาน ITB และ งาน WTM มีการจัดโปรโมชั่น สูงเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ซื้อ 1 คืน แถม 1 คืน หรือ
จากเดิมฟรีอาหารเช้า ก็มาเพิ่มอีก 1 มื้อ คือกลางวัน หรือเย็นด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราเข้าพักโรงแรมทั่วประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 60%
***เสนอ 4 ข้อจี้รัฐบาลใหม่ทำ*****
ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิ.ย.54 ซึ่งสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟสต้า ได้จัดดีเบต เชิญ 5 พรรคการเมือง ร่วมชี้แจงนโยบายด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของ ทีเอชเอ เตรียมเสนอ 4 ประเด็นที่ต้องการให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลเร่งดำเนินการโดยด่วน ได้แก่ 1.การปราบปรามโรงแรมเถื่อน ให้มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามที่กฎหมายกำหนด 2. การจัดโซนนิ่งการลงทุนด้านโรงแรม
ให้เพียงพอระหว่างดีมานด์ กับซัพพลาย ป้องกันการโอเวอร์ซัพพลาย 3. ต้องการให้ เพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อมาดูแลงานด้านการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว และ 4. ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้ง ผู้มีความรู้ความสามารถ เข้ามาช่วยดูแลเอกชน ในเรื่องการเตรียมความพร้อม เปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC