00 จะเป็นเพราะทนแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว หรือว่ากลัวกระแสหล่นวูบในโค้งสุดท้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ “ปูแดง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมกัดฟัน “แบะท่า” หันมารับคำท้าดีเบตกับ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากค่ายปชป.แม้จะรู้ว่าเสียเปรียบ เพราะคงโต้วาทีสู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าบรรดากุนซือคงแนะนำให้ใช้ยุทธวิธี “อมพะนำ” หรือใช้ “มารยาหญิง” แบบ “บีบน้ำตา”เข้าไปสู้อาจพลิกจากเสียเปรียบในเรื่องจ้อไม่เก่ง มาเป็นเรียกคะแนนสงสารแล้วเข้าป้ายก็เป็นได้
00 อย่างไรก็ดีการใช้ความ “เงียบ” สยบการพูดไม่หยุดของ “เจ๊ปู” หากเกิดขึ้นจริง ทางหนึ่งอาจเป็นการปิดบังความโง่ ความไม่รู้ของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการ “นิ่ง” อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามคาดเดาไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ โง่หรือว่านิ่งรอจังหวะ ให้อีกฝ่ายชะงักได้เหมือนกัน บางทีการที่ฝ่ายปชป.ชอบใจที่ ยิ่งลักษณ์ หันมาเล่นเกมนี้ของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่แน่เหมือนกัน
00ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นความทุเรศ เห็นแก่ตัวของบรรดานักเลือกตั้ง “เขี้ยวลากดิน” ที่ทำมากินอยู่กับ “ธุรกิจการเมือง” มาค่อนชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นการดิ้นรนต่อรองแบบออกนอกหน้าของ “เฒ่าเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา รวมไปถึงพรรคการเมืองอื่น ทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ และอีกหลายคนที่เสนอหน้าออกมา บางคนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ก็ยังไม่เคยนำพา ยัง “หน้าด้าน” ออกมาลอยหน้าลอยตา และสิ่งที่ “สำรอก” ออกมาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ารักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ครอบครัวตัวเอง พวกตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านตรงไหน อย่างเรื่อง “นิรโทษกรรม” ให้ตัวเองลบความผิด รวมไปถึงคนอื่นๆแม้แต่ “เหลี่ยมจัด” ที่อยู่นอกประเทศก็เถอะมันเกี่ยวข้องกับปากท้องและความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองตรงไหน ถามสักคำทั้ง “หัวหงอก-หัวดำ”ทั้งหลายว่าถ้าขาด “พวกเอ็ง” แล้วบ้านเมืองมันจะฉิบหายวายวอดหรือเปล่า ก็เปล่า ตรงกันข้ามบางทีแผ่นดินมันอาจสูงขึ้นด้วยซ้ำไป
00 นี่ขนาดยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง ยังไม่ได้โหวตว่าจะเลือกใคร ยังไม่ผ่านพิธีกรรมเลือกตั้ง แต่คนพวกนี้กลับ “บังอาจ” รวมหัวกันแบ่งเค้ก แบ่งปันอำนาจกันล่วงหน้าแล้ว นี่ละหรือที่จะเป็นความหวังของชาติ ให้คนพวกนี้มาเดินนำหน้า ทั้งที่ในหัวของมันมีแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเฉพาะหน้า ไม่มีสัจจะ พร้อมที่จะหักหลังกันได้ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าตัวเองได้กำไรเท่าไหร่
00 แนวโน้มอาจเป็นจริงอย่างที่ เทพเทือก สันนิษฐานเอาไว้ก็ได้ว่า เวลานี้ “บางพรรค” กำลังใช้วิชามารนั่นคือโวยวาย รวมไปถึง “สร้างสถานการณ์” ว่าตัวเองถูกทำร้ายถูกกลั่นแกล้ง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร แม้ไม่บอกชื่อมาว่าเป็นพรรคไหน ก็น่าจะพอเดาออก แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายปชป.ก็ใช่ย่อยเพราะดูทางแล้วกำลัง “ย้อนศร” ล่อให้เสื้อแดงมา “ทำร้าย” มาก่อกวน มาร์ค ขณะหาเสียงเรียกความเห็นใจจาก “แม่ยก”ได้เป็นกอบเป็นกำ
00 ในที่สุดเราก็จับโกหก นายกฯที่ “ดีแต่พูด” อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อีกรอบกรณีปราสาทพระวิหาร ตอนแรกบอกว่าผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกหนุนไทยให้เลื่อนวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกออกไปก่อน ที่ไหนได้ล่าสุดมีข่าวยืนยันว่ายังไม่ได้เลื่อนออกไป กลายเป็นว่ากำลังกดดันให้ไทยและกัมพูชาหาทางออกร่วมกันให้ได้ ก่อนที่จะมีการสรุปชี้ขาดในที่ประชุมเดือนหน้า ขณะเดียวกันในเวทีศาลโลกก็กำลังเสียท่าเพราะเรากำลังลุ้นว่าศาลจะเห็นคล้อยตามคำพูดของกัมพูชาที่ให้ไทยถอนทหารพ้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทโดยทันทีหากมีการให้ “คุ้มครองฉุกเฉิน” ชั่วคราวนั่นเท่ากับว่าเราเสียอธิปไตยอย่างถาวร และกู่ไม่กลับแล้ว
00 ที่สำคัญกว่าคดีนี้จะได้ข้อสรุปในกรณีที่กัมพูชาเสนอให้ตีความคำพิพากษา เมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือไม่ก็ต้องรออีกหลายเดือน หรือนานเป็นปี ซึ่งดูแล้วไม่มีอนาคต แต่ประเด็นก็คือทำไมเราต้องมาลุ้นใจหายใจคว่ำกับเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ทำไมเราไม่ใช้กำลังทหารผลักดันออกไปให้เบ็ดเสร็จแล้วค่อยมาเจรจากันภายหลัง ในเมื่อทุกฝ่ายยืนยันตรงกันแล้วว่าฝ่าย “แขมร์” มันจงใจรุกราน แต่เป็นเพราะผู้นำไทยมันไม่มี “พาวเวอร์” สั่งผู้นำกองทัพ สั่ง รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณไม่ได้ แต่ยังอยากโชว์ “ภาวะผู้นำ” ให้คนทั่วไปได้เห็น มันก็เลยต้องโกหกทั้งตัวเองและคนไทยทั่วไปพร้อมๆกัน แต่ความเสียหายที่ตามมามันประเมินไม่ได้จริงๆ
00 นี่ก็เริ่มด้วยการบิดเบือน “คิดไม่ซื่อ” กันตั้งแต่ต้นมือเสียแล้วพี่น้อง หลังจากที่ “อนุตตมา อมรวิวัฒน์” ลูกสาวของ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ลงสมัคร ส.ส.เขตห้วยขวาง ในนามพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงชูภาพลักษณ์ความเป็นครูบาอาจารย์ ถึงกับเรียกตัวเองว่า “อาจารย์จิ๊บ” อ้างประวัติว่าเคยสอนอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ชูภาพคนรุ่นใหม่ ดูเผินๆก็ไม่มีอะไรให้สังเกต แต่กลายเป็นว่ามีคนที่เกี่ยวข้องกับคณะเศรษฐศาสตร์ในสถาบันดังกล่าวเห็นความไม่เข้าท่าแล้วทนไม่ได้ เพราะเมื่อไปตรวจสอบแล้วก็ไม่เคยปรากฎมีคนหน้าตาแบบนี้เข้ามาสอนนักศึกษาแต่อย่างใด ก็ขอเตือนไว้ล่วงหน้าถ้า “คิดผิด ก็คิดใหม่ได้” นะน้อง !!
00 อย่างไรก็ดีการใช้ความ “เงียบ” สยบการพูดไม่หยุดของ “เจ๊ปู” หากเกิดขึ้นจริง ทางหนึ่งอาจเป็นการปิดบังความโง่ ความไม่รู้ของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการ “นิ่ง” อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามคาดเดาไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ โง่หรือว่านิ่งรอจังหวะ ให้อีกฝ่ายชะงักได้เหมือนกัน บางทีการที่ฝ่ายปชป.ชอบใจที่ ยิ่งลักษณ์ หันมาเล่นเกมนี้ของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่แน่เหมือนกัน
00ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นความทุเรศ เห็นแก่ตัวของบรรดานักเลือกตั้ง “เขี้ยวลากดิน” ที่ทำมากินอยู่กับ “ธุรกิจการเมือง” มาค่อนชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นการดิ้นรนต่อรองแบบออกนอกหน้าของ “เฒ่าเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา รวมไปถึงพรรคการเมืองอื่น ทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ และอีกหลายคนที่เสนอหน้าออกมา บางคนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ก็ยังไม่เคยนำพา ยัง “หน้าด้าน” ออกมาลอยหน้าลอยตา และสิ่งที่ “สำรอก” ออกมาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ารักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ครอบครัวตัวเอง พวกตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านตรงไหน อย่างเรื่อง “นิรโทษกรรม” ให้ตัวเองลบความผิด รวมไปถึงคนอื่นๆแม้แต่ “เหลี่ยมจัด” ที่อยู่นอกประเทศก็เถอะมันเกี่ยวข้องกับปากท้องและความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองตรงไหน ถามสักคำทั้ง “หัวหงอก-หัวดำ”ทั้งหลายว่าถ้าขาด “พวกเอ็ง” แล้วบ้านเมืองมันจะฉิบหายวายวอดหรือเปล่า ก็เปล่า ตรงกันข้ามบางทีแผ่นดินมันอาจสูงขึ้นด้วยซ้ำไป
00 นี่ขนาดยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง ยังไม่ได้โหวตว่าจะเลือกใคร ยังไม่ผ่านพิธีกรรมเลือกตั้ง แต่คนพวกนี้กลับ “บังอาจ” รวมหัวกันแบ่งเค้ก แบ่งปันอำนาจกันล่วงหน้าแล้ว นี่ละหรือที่จะเป็นความหวังของชาติ ให้คนพวกนี้มาเดินนำหน้า ทั้งที่ในหัวของมันมีแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเฉพาะหน้า ไม่มีสัจจะ พร้อมที่จะหักหลังกันได้ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าตัวเองได้กำไรเท่าไหร่
00 แนวโน้มอาจเป็นจริงอย่างที่ เทพเทือก สันนิษฐานเอาไว้ก็ได้ว่า เวลานี้ “บางพรรค” กำลังใช้วิชามารนั่นคือโวยวาย รวมไปถึง “สร้างสถานการณ์” ว่าตัวเองถูกทำร้ายถูกกลั่นแกล้ง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร แม้ไม่บอกชื่อมาว่าเป็นพรรคไหน ก็น่าจะพอเดาออก แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายปชป.ก็ใช่ย่อยเพราะดูทางแล้วกำลัง “ย้อนศร” ล่อให้เสื้อแดงมา “ทำร้าย” มาก่อกวน มาร์ค ขณะหาเสียงเรียกความเห็นใจจาก “แม่ยก”ได้เป็นกอบเป็นกำ
00 ในที่สุดเราก็จับโกหก นายกฯที่ “ดีแต่พูด” อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อีกรอบกรณีปราสาทพระวิหาร ตอนแรกบอกว่าผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกหนุนไทยให้เลื่อนวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกออกไปก่อน ที่ไหนได้ล่าสุดมีข่าวยืนยันว่ายังไม่ได้เลื่อนออกไป กลายเป็นว่ากำลังกดดันให้ไทยและกัมพูชาหาทางออกร่วมกันให้ได้ ก่อนที่จะมีการสรุปชี้ขาดในที่ประชุมเดือนหน้า ขณะเดียวกันในเวทีศาลโลกก็กำลังเสียท่าเพราะเรากำลังลุ้นว่าศาลจะเห็นคล้อยตามคำพูดของกัมพูชาที่ให้ไทยถอนทหารพ้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทโดยทันทีหากมีการให้ “คุ้มครองฉุกเฉิน” ชั่วคราวนั่นเท่ากับว่าเราเสียอธิปไตยอย่างถาวร และกู่ไม่กลับแล้ว
00 ที่สำคัญกว่าคดีนี้จะได้ข้อสรุปในกรณีที่กัมพูชาเสนอให้ตีความคำพิพากษา เมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือไม่ก็ต้องรออีกหลายเดือน หรือนานเป็นปี ซึ่งดูแล้วไม่มีอนาคต แต่ประเด็นก็คือทำไมเราต้องมาลุ้นใจหายใจคว่ำกับเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ทำไมเราไม่ใช้กำลังทหารผลักดันออกไปให้เบ็ดเสร็จแล้วค่อยมาเจรจากันภายหลัง ในเมื่อทุกฝ่ายยืนยันตรงกันแล้วว่าฝ่าย “แขมร์” มันจงใจรุกราน แต่เป็นเพราะผู้นำไทยมันไม่มี “พาวเวอร์” สั่งผู้นำกองทัพ สั่ง รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณไม่ได้ แต่ยังอยากโชว์ “ภาวะผู้นำ” ให้คนทั่วไปได้เห็น มันก็เลยต้องโกหกทั้งตัวเองและคนไทยทั่วไปพร้อมๆกัน แต่ความเสียหายที่ตามมามันประเมินไม่ได้จริงๆ
00 นี่ก็เริ่มด้วยการบิดเบือน “คิดไม่ซื่อ” กันตั้งแต่ต้นมือเสียแล้วพี่น้อง หลังจากที่ “อนุตตมา อมรวิวัฒน์” ลูกสาวของ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ลงสมัคร ส.ส.เขตห้วยขวาง ในนามพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงชูภาพลักษณ์ความเป็นครูบาอาจารย์ ถึงกับเรียกตัวเองว่า “อาจารย์จิ๊บ” อ้างประวัติว่าเคยสอนอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ชูภาพคนรุ่นใหม่ ดูเผินๆก็ไม่มีอะไรให้สังเกต แต่กลายเป็นว่ามีคนที่เกี่ยวข้องกับคณะเศรษฐศาสตร์ในสถาบันดังกล่าวเห็นความไม่เข้าท่าแล้วทนไม่ได้ เพราะเมื่อไปตรวจสอบแล้วก็ไม่เคยปรากฎมีคนหน้าตาแบบนี้เข้ามาสอนนักศึกษาแต่อย่างใด ก็ขอเตือนไว้ล่วงหน้าถ้า “คิดผิด ก็คิดใหม่ได้” นะน้อง !!