ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการชำแหละนโยบายพรรคการเมือง “ชัยอนันต์” ซัดไม่ทำหน้าที่ เน้นเข้ามาทำมาหากินงบฯ ปูดมีรมต.หนี้ 100 ล้าน หน.พรรคถอนหนี้ให้ แฉบ่อเงินนักการเมือง “ตลาดหุ้น-สัมปทาน-จัดซื้อจัดจ้าง-ปล่อยกู้-ซื้อขายตำแหน่ง” โพลแฉซื้อเสียงพุ่งหัวละพัน “มาร์ค” เมินโพลโวแซงท้ายเกม “เทือก” ขอโทษ เสธ.หนั่น หลังหยามไม่ได้เป็นนายกฯ “ปู” แย้ม! รับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
วานนี้ (29 พ.ค.) มีการเสวนาหัวข้อ “ขุมทรัพย์พรรคการเมือง” จัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่โรงแรมสวีทโฮเทล ลอ คองคอร์ด รัชดาฯ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิต ปาฐกถาว่า พรรคการเมืองไทยกลับทำหน้าที่เหล่านี้ไม่สมบูรณ์มุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์ ในอดีตพรรคการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายที่เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน การตั้งพรรคการเมืองในปัจจุบันมีวัตถุประสงค์เดียวคือแข่งขันเลือกตั้งขณะที่ผู้นำของแต่ละพรรคไม่มีเวลาพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งต่างจากต่างประเทศ ตนเห็นว่าพรรคการเมืองปัจจุบันเข้ามาหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐเพิ่งเกิดขึ้นมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ที่อดีตพรรคการเมืองจะหากินกันจากค่าคอมมิชชันคิดกันเป็นเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ไม่มากเท่ากับปัจจุบันที่เป็นการสมคบกันของพรรคร่วมรัฐบาลไปจัดทำโครงการเพื่อหากินแบ่งกันไปคุมกระทรวงต่างๆ แล้วอ้างเอาว่าประชาชนได้เลือกตั้งเข้ามา สื่อมวลชนเองก็ไม่สามารถไปดูข้อมูลเบื้องลึกที่มาที่ไปได้
**ปูด รมต.หนี้ 100 ล้าน หน.พรรคปลดให้
“พรรคการเมืองมีหน้าที่อย่างเดียวรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แล้วมุ่งแต่ว่าใครไปดูแลอะไรเข้าไปแบ่งสรรปันส่วนกันในกระทรวงต่างๆ หัวหน้ารัฐบาลถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า เมื่อให้พรรคอื่นไปดูกระทรวงใด ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปควบคุมดูแล เป็นสาเหตุให้ประชาชนไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์เหมือนในขณะนี้ เป็นปัญหาและว่าการคอร์รัปชันถูกมองว่าเป็นการกินงบประมาณแผ่นดินที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นเจ้าของ โดยส่วนตัวยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะจับการที่แก้ไม่ตก เพราะพรรคการเมืองเขาต้องไปหาเงิน” ศ.ดร.ชัยอนันต์กล่าว
นายชัยอนันต์กล่าวต่อว่า พรรคการเมืองหาจะหาเงินได้ 2 ทาง 1.หัวหน้าพรรคทำคนเดียวเป็นคนจัดการตั้งรัฐมนตรีให้เข้าไปทำหน้าที่ในลักษณะแค่นั่งเก้าอี้อย่างเดียว นอกนั้นหัวหน้าพรรคเป็นผู้จัดการเพียงคนเดียว เรื่องนี้เป็นข้อมูลลึก “ผมมีเพื่อนเป็นรัฐมนตรีมีหนี้ 100 ล้านไปนั่งเป็นรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคจัดการหนี้ให้หมดไป” 2.เป็นการช่วยกันหากินแล้วมาแบ่งสรรกันว่า ใครสมควรจะได้อะไร โดยสร้างภาพหัวหน้าพรรคให้เป็นคนดี แต่ให้ลูกพรรคแสวงหาผลประโยชน์ จึงอยากเสนอให้ไปยึดทรัพย์บุคคลที่พบข้อพิรุธเอามาก่อน หากพิสูจน์ได้แล้วก็ค่อยคืนที่หลัง
นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา กล่าวว่า ในปัจจุบันไม่มีพรรคการเมืองใดทำนโยบายต้านคอร์รัปชัน อยากถามไปว่า เป็นเพราะกลัวจะเข้าตัวหรือไม่ ในส่วนตัวมองว่า ขุมทรัพย์นักการเมืองนั้น แบ่งออกเป็น 5 ประเภท 1.ตลาดหุ้น เช่น การปั่นหุ้น หุ้นกู้แปลงสภาพ ไปขายวอร์แรนท์ โดยการใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสวงหากำไร และฉ้อโกงบริษัทที่เป็นการไซฟอนเงิน และใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ราคาหุ้นสูง เป็นต้น 2.การผูกขาดสัมปทานที่เป็นโครงการระยะยาว 3.การจัดซื้อจัดจ้างจากงบประมาณแผ่นดินที่มีอยู่กว่า 5 แสนล้านบาท ถ้ามีการรั่วไหลเพียง 20% จะเป็นเงินกว่า 1 แสนล้าน เช่น โครงการเงินกู้ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร โครงการต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ และงบภัยพิบัติต่างที่มีอยู่ตลอด 4.การปล่อยสินเชื่อธนาคาร และ 5.การซื้อขายตำแหน่ง เช่น ตำรวจ กระทรวงทรัพย์ฯ ผู้ว่าราชการฯ เหล่านี้หนทางที่พอสกัดกั้นได้ น่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูล ตรงนี้จะทำให้การทุจริตลดลง
ขณะที่ รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่พบในนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ได้แก่ 1.การเสนอทำโครงการขนาดใหญ่ ที่มักจะต้องใช้เงินกู้เป็นจำนวนมาก เรื่องนี้จำเป็นต้องจับตาเพราะง่ายต่อการทุจริต 2.โครงการแก้ปัญหาความเดือดร้อน หรือโครงการประชานิยมที่มักจะยกอ้างว่า ทำเพื่อประชาชน แต่อยากให้ไปดูว่า ประชาชนได้กลับมาจริงเพียงนิดเดียว จึงอยากให้ตั้งข้อสังเกต หากมีลักษณะดังกล่าวแล้วจะมีการรั่วไหลของเงินอย่างแน่นอน เช่น การประกาศภัยแล้ง ภัยหนาว ทุกปี มีนำงบลงพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงโครงการเอสเอ็มแอล แต่นักการเมืองกลับเสนอแกมบังคับว่า แต่ละชุมชนควรทำอะไร 3.โครงการประเภทแทรกแซงตลาดแต่สุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น โครงการน้ำมันปาล์ม
“การเปิดเผยข้อมูลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ความสำเร็จของการต่อสู้คอรัปชั่นในประเทศเกาหลีคือมีการทำฐานข้อมูลของภาคการเมือง และกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราเชื่อว่า ทุกการกระทำย่อมมีร่องรอยปรากฏ ดังนั้นฐานข้อมูลยิ่งทำให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริจาคให้นักการเมือง แม้หน้าฉากจะบริจาคน้อยแต่เราจะทราบได้ว่า บุคคลใดเกี่ยวโยงกับใคร มีผลประโยชน์อะไร” รศ.นวลน้อยกล่าว และว่า ปัจจุบันทุกวันสื่อมวลชนแข่งกันเรื่องความเร็วเป็นหลักมีโอกาสตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองได้ นอกจากเรื่องความเร็วตนอยากให้สื่อมวลชนให้มิติของความลึกด้วย ที่สำคัญอยากเสนอให้ทางสื่อมวลชน ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ตั้งโต๊ะข่าว สำหรับตรวจสอบการคอรัปชั่นเป็นการเฉพาะอีกทางหนึ่งด้วย
โพลแฉ! ซื้อเสียงพุ่ง หัวละ 1 พัน
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่าผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง 13 คำถามที่คนไทยตอบ คำถามที่ว่า คุณคิดว่านโยบายปรองดองให้บ้านเมืองสงบสุข หลังการเลือกตั้งจะมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือก ผู้สมัคร ส.ส ของพรรคการเมืองหรือไม่ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.8 ระบุมีผลค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ คำตอบของ 3 คำถามสุดท้ายที่ค้นพบ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.7 ระบุการซื้อเสียงก็มีผลจะทำให้ชนะการเลือกตั้ง ในขณะที่ร้อยละ 31.3 เท่านั้นที่ระบุไม่มีผล นอกจากนี้ ราคาค่างวดในการซื้อเสียงกันครั้งนี้ที่ค้นพบในกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.0 คือ ไม่เกิน 500 บาท ร้อยละ 29.8 ระบุอยู่ระหว่าง 501-1,000 บาท และร้อยละ 13.2 ระบุมากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า ถ้าผู้สมัคร ส.ส.ลงพื้นที่เป็นประจำ ทำประโยชน์ให้กับชุมชนท้องถิ่น หมั่นช่วยงานบวช งานวัด งานศพ ราคาซื้อเสียงก็จะไม่เกิน 500 บาท แต่ถ้าไม่เคยลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนเลย การซื้อเสียงด้วยเงินจำนวนมากก็อาจจะไม่ชนะได้ และผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.7 ระบุมีการซื้อเสียงในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเอง
“ปู” เปิดกว้างทุกพรรคร่วมรัฐบาล
วานนี้ (29 พ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคขนาดกลาง 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เตรียมจับขั้วเพื่อต่อรองทางการเมืองว่า ขอให้ใจเย็นๆ รอให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อนว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะดีกว่า แต่ส่วนตัวแล้วพร้อมเปิดกว้างรับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เหมือนกันในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพรรคไหนบ้างที่อุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ เอาไว้ถึงเวลานั้นก่อน ส่วนพรรคภูมิใจไทยสามารถร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วไปที่จะพูด สำหรับกรณีที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอเรื่องนายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้เราเข้าสู่โหมดเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งและผ่านกลไกของรัฐสภา ดังนั้นควรจะให้เป็นไปในรูปแบบนั้น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวถึงการเปิดตัวนโยบายปรองดองด้วยว่า คงต้องคุยกันในรายละเอียดก่อน ซึ่งตนไม่ต้องการให้เปิดเป็นขั้นๆ และไม่อยากให้ออกมาในรูปแบบที่เราคิดคนเดียว เพราะอยากทำงานกับทุกภาคส่วนที่จะหาแนวทางร่วมกัน โดยประเด็นหลักที่สำคัญคือ อยากให้มองว่าทำอย่างไรที่จะให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติมากกว่า
“มาร์ค” เมินโพลให้รอผลการเลือกตั้ง
ที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังตอบอะไรยาก จนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้ง อย่างที่ตนบอกทุกพรรคต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน ที่จะกำหนดท่าทีของตนเอง ถือเป็นเรื่องปกติของระบบเรา
ส่วนล่าสุดพรรคเล็กๆ โดยเฉพาะพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมายอมรับ คนที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เขาก็ต้องเปิดทางทางการเมืองเอาไว้ ส่วนใหญ่พรรคต่างๆ ก็ไม่ค่อยนิยมที่จะไปผูกมัดอะไรมากเกินไป แต่ทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน และวันนี้ ตนเองก็เดินหน้าทำหน้าที่ในฐานะพรรคการเมือง ที่ไปพบปะกับประชาชน และวันนี้ที่เน้นเป็นพิเศษคือเรื่องยาเสพติด โดยเฉพาะในแง่มุม กระบวนการบำบัดที่ไม่ค่อยได้พูดกัน และการมีส่วนร่วมของครอบครัว ซึ่งวันนี้มีคุณแม่ใจเด็ดเอาตำรวจมาควบคุมตัวลูกไปเลย เพื่อเข้าบำบัด ปัญหาอย่างนี้ ที่เราอยากจะสะท้อนให้เห็นว่าเราจะต้องช่วยกันทำงานต่อไป และยังเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีแนวนโยบายสองด้าน ทั้งการป้องกันปราบปรามและการบำบัดฟื้นฟู และคืนคนดีกลับสู้สังคมให้ได้ ส่วนที่พัทยา ที่มาหาเสียงเน้นเรื่องเมืองท่องเที่ยว ซึ่งมีแผนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนแต่นโยบายเศรษฐกิจในภารรวมจะนำเสนอในอีก 3-4 วันข้างหน้า โดยจะจัดเป็นการเฉพาะให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะนำพาเศรษฐกิจไปอย่างไร
ส่วนที่สวนดุสิตโพลล่าสุดบอกว่าประชาธิปัตย์ยังมีความคะแนนความนิยมตามพรรคเพื่อไทยอยู่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตามอยู่นิดๆ หน่อยๆ ไปแซงตอนท้ายได้ไม่เป็นไร บอลยังไม่พักครึ่งเลย เมื่อถามว่า ชื่อนายกรัฐมนตรีบนหน้าสื่อทำไม่มีแต่แต่ชื่อพล.ต.สนั่น กับนางสาวยิ่งลักษณ์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ตอนนี้ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป สุดท้ายสภาผู้แทนราษฎร เป็นคนเลือก และประชาชนเป็นคนเลือกผู้แทนราษฎร ไม่มีปัญหาหรอก เมื่อคืนเบอร์สิบ ก็ยิงทั้งสองฝ่าย (แมนยูฯ กับบาร์เซโลนา) เมื่อถามว่า เบอร์สิบเป็นฝ่ายแพ้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ยิงผ่านเบอร์หนึ่งทั้งนั้น
ดุสิตโพลบอก “เพื่อไทย” นำปาร์ตี้ลิสต์
ทั้งนี้ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ เรื่องประชาชนกับการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทำการสำรวจเป็นระยะๆ ก่อนถึงวันเลือกตั้งจริง โดยการสำรวจครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 23-28 พฤษภาคม พบว่า เปรียบเทียบความนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคในการเลือก ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยยังนำพรรคประชาธิปัตย์ โดยประชาชน 43.16% จะเลือกพรรคเพื่อไทย ส่วน 37.45% จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด 7.08%
สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีคะแนนนำพรรคเพื่อไทย แต่เป็นไปแบบสูสี โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ 38.88% ส่วนพรรคเพื่อไทย 35.46% โดยมีผู้ที่ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด ร้อยละ 11.87
บิ๊กบัง ชู “สนั่น” เหมาะนั่งนายกฯ ปรองดอง
ที่ จ.สตูล พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวระหว่างตระเวนหาเสียงให้กับผู้สมัครว่าพรรคการเมืองเล็กอย่างพรรคมาตุภูมิ จะได้ร่วมรัฐบาลหรือไม่ นั้นพรรคการเมืองเล็กๆกำลังรวมตัวเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องดึงพรรคการเมืองเล็กๆ ไปร่วมด้วย สำหรับพรรคมาตุภูมิเชื่อว่า ในอนาคตจะต้องได้เป็นพรรคการเมืองขนาดกลาง เพราะต้องได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 10 คน
พล.อ.สนธิยังกล่าวถึงกรณีนายบรรหาร ศิลปอาชา ออกมาสนับสนุน พล.ต.สนั่น เป็นนายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น ทางพรรคมาตุภูมิไม่ขัดข้อง ตนเห็นว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย พรรคไหนรวบรวมเสียงข้างมากได้ ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในสถานการณ์บ้านเมืองต้องการความปรองดอง ตนเห็นว่า พล.ต.สนั่น มีความพร้อม ความสามารถ ในเรื่องของการปรองดอง
“เทือก” เร่งเคลียร์ เสธ.หนั่น อ้างสื่อตีความ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.สนั่น ออกมาแสดงความไม่พอใจการให้สัภาษณ์ว่าตนไม่มีเจตนาที่จะทำให้ พล.ต.สนั่น มีความไม่สบายใจ และกระทบกระเทือนจิตใจ ดังนั้น ตนขอใช้โอกาสนี้ฝากขอโทษ พล.ต.สนั่นด้วย เรื่องที่เกิดขึ้่นนี้มาจากมีสื่อมวลชนได้ตั้งถามนำ และการตอบของตนนั้นก็เป็นการตอบโต้พรรคอื่น ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะมุ่งไปที่ พล.ต.สนั่น และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หาก พล.ต.สนั่น มีความเข้าใจ และยังเป็นเลขาธิการพรรคอยู่ ก็คงจะเข้าใจว่าคนที่เป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องการให้คนเป็นนายกฯ ก็จะต้องเป็นหัวหน้าพรรคของตนเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าหวั่นใจบ้างหรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยมีการต่อสายจีบพรรคร่วมรัฐบาลเดิมไปร่วมตั้งรัฐบาลด้วย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลยังดีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่หวั่นใจอะไรเลย การเมืองมันเป็นอย่างนี้เอง แต่ประสบการณ์ทางการเมืองสอนให้เราเป็นคนหนักแน่น และมั่นคง อย่าไประแวงหรือหวั่นไหวต่อสิ่งที่เขานำมาเสนอ เช่นกรณีสื่อมาถามตนพูดไปความยาวสิบประโยค สื่ออาจจะไปพาดหัวครึ่งประโยค เพื่อความหวือหวา ถ้าไปถือเอาครึ่งประโยคนั้นโดยไม่ฟังดูทั้งหมดก็อาจขุ่นเคืองกันได้ แต่สำหรับตนมองเป็นเรื่องธรรมดาใครว่ามาก็ชี้แจงไป ตนระมัดระวังเรื่องคำพูดอยู่แล้ว แต่ก็มีหลุดบ้าง มีอาการที่ทำให้คนขุ่นเคืองได้ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรประชาขนที่ไปเลือกตั้งตัดสินใจอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่าแสดงว่าถ้าประชาชนตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยมีคะแนนมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนจะไม่พูดมัดตัวเองอย่างนั้น แม้คนพยายามจะมัดหลายที ทั้งหมดอยู่ที่ว่าใครจะรวบรวมเสียงในสภาได้มากกว่ากัน สมมุติพรรคเพื่อไทยแพ้พรรคประชาธิปัตย์จริงๆ ซึ่งตนเชื่อว่าแพ้ แต่พรรคเพื่อไทยอาจจะไปเสนอต่อพรรคชาติไทยพัฒนาให้คนของพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นนายกฯ และดึงเอาพรรคอื่นเข้าไปร่วมด้วย ถ้ารวมแล้วเสียงมากวก่าฝ่ายที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เขาก็เป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นประชาชนที่ประสงค์จะให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ต่อไปก็ต้องช่วยเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากๆให้ชนะพรรคเพื่อไทยมากๆ จนกระทั่งพรรคเพื่อไทยเงียบเสียงไปเอง ก็จะช่วยได้
“ปลอด” ซัด เสธ.หนั่น นั่งนายกฯ ดูถูก ปชช.
ที่โรงแรมสวีทโฮเทล ลอ คองคอร์ด รัชดา นายปลอดประสพ สุวัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข่าวพรรคเล็กจะรวบเสียงเพื่อต่อรองว่า เป็นการประเมินที่เลอะเทอะ และเป็นความคิดที่ไม่เคารพเสียงของประชาชน
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ตนได้คุยกับนายเสนาะ เทียนทอง อดีตหัวหน้าพรรคประชาราช วิเคราะห์กันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะเหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยชนะเกินครึ่ง แต่ดูไปดูมา บรรยกาศคล้ายกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ที่พรรคชนะแบบถล่มทลาย พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงส.ส.เกิน 370 เสียง ดังนั้นหากการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.เกิน 300 เสียง ต้องคิดให้เยอะ
“หากจะเอาใบเฟริ์น มาแซมต้องเลือก หากเป็นใบเฟริ์นใช้กับงานศพก็ไม่เอา นอกจากนั้นต้องมีดอกไม้มาแซมด้วย ซึ่งต้องเลือก เป็นดอกรักเร่ ผมไม่เอา หรือเป็นดอกเหี่ยวๆ ผมก็ไม่เอา ส่วนพรรคไหนจะเป็นพรรคเหี่ยวหรือไม่ ดูที่หน้าผู้นำก็รู้แล้ว หน้าเหี่ยวๆ คางเหี่ยวหรือไม่” นายปลอดประสพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเมินผู้นำของแต่ละพรรค เช่น นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พล.ต.สนั่น นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไว้อย่างไร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อย่างนพ.วรรณรัตน์ ยังดูหนุ่ม และหล่อ ส่วนพล.ต.สนั่น ตนขอมองไปที่นายบรรหาร ขณะนี้นายบรรหารยังดูโหงวเฮ้งดี แต่เสียอย่างเดียวนายบรรหารไม่น่าลากลูกตุ้ม ส่วนนายชวรัตน์ ถือว่าเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา วันที่นายชวรัตน์ขับรถจักรยานยนต์ตนก็กลัวว่าจะล้ม เพราะไม่ทราบว่าเอารถจักรยานยนต์ใครมาขับ
“วรรณรัตน์” แย้มพรรคเล็กขอเจียมตัว
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า ยังเร็วไปที่จะพูด เพราะยังไม่ทราบว่าแต่ละพรรคได้รับคะแนนเลือกตั้งเท่าใดการจัดตั้งรัฐบาลต้องเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ พรรคเล็กๆ ต้องรู้จักเจียมตัว การเลือกตั้งเป็นเรื่องของอนาคต เร็วเกินไปที่จะพูดถึงการตั้งรัฐบาลขณะนี้
พรรคกลางชู “หนั่น-ปชป.” ชี้หักหลังแดง
มีรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่หากหลังการเลือกตั้ง พรรคเล็กและพรรคขนาดกลางจะผลักดันให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นนายกฯ โดยที่ผ่านมาบรรดาแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา แกนนำพรรคภูมิใจไทย แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ได้มีการหารือกันมาตลอด
“เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะได้ ส.ส.เป็นอันดับหนึ่งและพรรคเพื่อไทยน่าจะได้ส.ส.ไม่เกิน 250 เสียงและหากพรรคเล็กและพรรคขนาดกลางมีเสียงรวมกันเกินกว่า 100 เสียงก็ผลักดันและเสนอชื่อ พล.ต.สนั่น ให้มานั่งนายกฯ เพื่อชี้ภาพความปรองดอง เพราะที่ผ่านมาพล.ต.สนั่น ได้มีการต่อสายพูดคุยเป็นระยะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่แล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะเห็นด้วย”
ขณะที่คนพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า เสียงที่สนับสนุน พล.ต.สนั่นเป็นนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์จะทำหน้าที่อย่างไร เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็จะเป็นการหักหลังคนเสื้อแดงทั้งหมด
เพื่อไทยจี้ ตร.เร่งหามือปาไข่ลงโทษ
อีกด้านที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ล่าสุดมีมือดีปาไข่จำนวน 2 ฟองบริเวณหลังเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่สวนลุมพินีเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือว่าโชคดีที่เป็นไข่ไม่ใช่ระเบิด ดังนั้นจึงอยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมาตรการที่เข้มข้นและเป็นเชิงรุกมากกว่านี้และขอประณามขบวนการปาไข่ที่ต้องการให้เกิดกระแสเชิงลบกับพรรคเพื่อไทยด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูแล้วเป็นฝีมือของกลุ่มคนที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ไม่น่าจะใช่ เชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มการเมืองมากกว่า ซึ่งคนพวกนี้ถือเป็นอันธพาลที่ใช้วิชามารมาป่วน
“ยิ่งลักษณ์” ไม่หวั่นแม้ปาไข่เวที
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย และตนจะยังเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามที่ต่างๆ ตามปกติเหมือนเดิม
“เต้น” ไม่ติดใจปาไข่ ยันปูลงใต้แน่
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบรายชื่อของพรรคเพื่อไทย กล่าวยืนยันว่า นางสาวยิ่งลักษณ์นั้นจะเดินทางลงพื้นที่ในทุกๆ ภาคของประเทศไทย จะไม่มีการเว้นไว้ภาคใดภาคหนึ่งอย่างแน่นอน อย่างกรณีของภาคใต้ ตนก็เชื่อว่าประชาชนชาวใต้ต้องอยากได้นโยบายดีๆ เหมือนกับภาคอื่นๆ อย่างแน่นอน
ส่วนเหตุการณ์ปาไข่ไม่ได้ติดใจอะไร และไม่ได้คิดว่าจะสร้างมาตรการตอบโต้ใด ๆ เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงเกม ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ยั่วยุประชาชนให้เกิดความไม่พอใจ
“เทือก” จับไต๋เผาไทยเรียกคะแนนสงสาร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คู่ต่อสู้พยายามใช้กลไกลการตลาดและยุทธวิธีตามที่ตัวเองถนัด ตนกระพรือให้ดูเหมือนว่ากระแสทั้งหลายมาทางฝ่ายเขาทั้งหมดจนเขาได้เปรียบ ตนรู้และติดตามมาก่อนแล้ววาจะใช้กลยุทธอย่างนี้ และอีกหน่อยก็จะใช้กลยุทธเรียกคะแนนสงสารไปสร้างสถานการณ์ว่าจ้างคนให้ไปคุกคามหรือทำร้ายผู้สมัครของพรรคตัวเอง สร้างฉากขึ้นมาแล้วจะได้เอามาอ้างว่าถูกข่มเหงรังแก ตนได้ติดตามและได้สั่งให้เจ้าหน้าที่คอยระมัดระวังว่าเมื่อเกิดเหตุที่ใดให้ติดตามจับกุมคนกระทำผิดให้ได้ จะได้เอาความจริงมาบอกกับพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุด
ส่วนเหตุการณ์ปาไข่ใได้กำชับเจ้าหน้าที่แล้วว่าไม่ว่าเกิดเหตุที่ไหนเจ้าหน้าที่ต้องติดตามจับกุมตัวมาให้ได้.