xs
xsm
sm
md
lg

สมรภูมิเลือกตั้งเมืองหลวง ยังไม่ผูกขาดแค่ “ปชป.-พท.”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**กรุงเทพมหานครยามนี้ก็เหมือนกับทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่สองข้างสองฟากถนนรวมถึงตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยป้ายหาเสียงเลือกตั้ง แต่ไม่ได้มีแค่ป้ายสองพรรคการเมืองใหญ่ “ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย”
ยังมีแซมแทรกด้วยป้ายหาเสียงของพรรคขนาดกลาง และเล็ก เข้ามาเติมสีสันการเลือกตั้งกรุงเทพมหานครให้ประชาชนมีทางเลือกมากกว่าแค่พรรคสวาปาม กับพรรคเผาบ้านเผาเมือง
แม้หลายฝ่ายประเมินว่า ยากที่พรรคจิ๋ว-เล็ก-กลาง จะเข้ามาสอดแทรกเบียดเอาที่นั่งส.ส.เขตไปจาก ปชป.-พท. รวมถึงแม้แต่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ต่อให้ผลสำรวจของโพลหลายสำนักจะบอกตรงกันว่า ยังมีประชาชนเกือบ 50 เปอร์เซนต์ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกผู้สมัครพรรคการเมืองไหน หรือเทคะแนนปาร์ติ้ลิสต์ให้พรรคใด
อย่างไรก็ตาม พื้นที่กรุงเทพมหานคร รู้ดีว่าเป็นสนามปราบเซียน ดูเลือกตั้งปี 50 ใครจะคิดว่า อดีตส.ส.กทม.ไทยรักไทย จะสอบตกร่วงระนาวเกือบยี่สิบคน และพวกหน้าใหม่โนเนมประชาธิปัตย์ในกทม. จะแจ้งเกิดได้ เหตุเพราะคนกรุงเทพฯจำนวนมากจะตัดสินใจเอาในช่วงไม่กี่วันสุดท้ายก่อนลงคะแนนเสียง ผสมกับกระแสหลายอย่างจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดว่า ชัยชนะจะเป็นของพรรคไหน
ดังนั้น ตอนนี้ ก็ยังดูไม่ออกว่า สนามกทม.ใครจะแพ้หรือชนะ ระหว่างพท.กับปชป.และพรรคอื่นจะเข้ามาแย่งที่นั่งได้หรือไม่
เบื้องต้นประชาธิปัตย์ ตั้งเป้ากทม.ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 25 ที่นั่งจาก 33 คน ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่เพื่อไทยตั้งไว้พอประมาณคือ ต่ำสุดๆ 12 แต่สูงสุดอยู่ที่ 20 ทำให้การแข่งขันย่อมต้องเข้มข้นแน่นอน และไม่ผิดหากจะสรุปได้ว่า
**สนามกทม. คือจุดชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากประชาธิปัตย์ หรือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเพื่อไทย
โดยเฉพาะหากประชาธิปัตย์ยึดกทม.ได้ระดับ 25 ที่นั่ง ก็จะไปเอาไปเติมส่วนที่หายไปจากอีสาน-เหนือ ก็ทำให้มีโอกาสจะชนะ-แพ้ห่างจากเพื่อไทยไม่เกิน 5 ที่นั่ง อย่างที่ อภิสิทธิ์วิเคราะห์เอาไว้
กระนั้น “ทีมข่าวการเมือง” เห็นว่า ไม่จำเป็นที่ คนกรุงเทพมหานคร จะมีทางเลือกแค่สองทาง ประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย
เพราะหากมีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่า ตัวผู้สมัครดีกว่า พรรคแม้จะเล็ก แต่แนวทางการเมืองชัดเจน จะไปทางซ้ายหรือทางขวา ดูแล้วชัด ไม่อึมครึม บอกมาเลยว่าไม่เอาแนวทางนิรโทษกรรม หรือจะขอเป็นตัวกลางสร้างความปรองดอง โดยเสนอแนวคิดและวิธีการที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่บอกว่าจะปรองดอง แต่ไม่บอกว่าจะทำอย่างไร ปรองดองแบบไหน
หาเสียงแบบนึกว่าคนกรุงเทพมหานคร ยังไงก็ได้ ขอให้ขายแนวทางปรองดอง-สมานฉันท์ แล้วก็จะเลือกทันทีเพราะเข็ดขยาดกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง พรรคไหนมาบอกว่าจะปรองดอง ทำให้ปัญหาขัดแย้งหมดไป ก็หลับหูหลับตาเลือก แต่ไม่บอกว่าจะทำอย่างไร จะนิรโทษกรรมพวกเผาบ้านเผาเมือง-โจรก่อการร้าย หรือแค่สร้างคำโฆษณาหาเสียงสวยหรู แต่พอถามจะทำอย่างไร ทำแบบไหน ก็ตีกรรเชียง ทำอ้อมแอ้ม บอกขอให้เลือกตั้งเสร็จก่อนค่อยว่ากัน
**ขอบอกก่อนว่า หากคิดจะหาเสียงแบบมักง่ายอย่างนี้ คนกรุงเทพมหานคร ไม่มีวันให้ถูกหลอก และคนกรุงเทพ ก็พร้อมเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นเสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือก ขอเพียงให้เป็นสินค้าดี มีคุณภาพ ทั้งตัวผู้สมัคร และตัวพรรคก็เป็นพอ
วันนี้ทุกพรรคการเมือง จึงยังมีโอกาสในการเจาะที่นั่งสนามกรุงเทพมหานครได้ เพราะจะว่าไปผู้สมัคระบบเขตของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ บางคนก็สู้พรรคขนาดกลาง-เล็ก ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จากการตรวจสนามเลือกตั้งกทม. พบว่า พรรคที่เสนอตัวขอเข้ามาเป็นทางเลือกให้คนกรุงเทพมหานคร ที่แสดงท่าทีว่า เอาจริงหลักๆ ก็มี อาทิ
ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน – แม้จะเป็นพรรคที่ประกาศชัดว่า เป็น“พรรคโคราช” แต่สนามกรุงเทพมหานคร ก็ยังไม่ทิ้ง ยังคงหวังลึกๆ จะสอดแทรกได้บางเขตเลือกตั้ง บนการชูนโยบายสู้การเมืองแบบการกีฬา คือ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอีกพรรคที่เสนอแนวทางสมานฉันฑ์ คือหวังจะหาเสียงกับคนกรุงเทพมหานคร ที่เบื่อหน่ายการเมืองแบบทะเลาะกันไม่มีวันเลิกรา ไม่มีวันจบเกมแบบจบการแข่งขันกันแล้วต่อให้สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อจบแล้วใครแพ้-ชนะ ก็ยอมรับ และจับมือกัน
ซึ่งคอนเสปต์ที่ใช้ แม้จะโดนใจคนกทม.ไม่น้อย แต่ที่ไม่มีเสียงขานรับจากคนกรุงเทพฯ ก็คงเพราะคนกรุงเทพมหานครเห็นความจริงที่ว่า พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ไม่ใช่พรรคหลักในการขับเคลื่อนนโยบายนี้
เพราะประชาชนมองว่า ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ไม่ใช่พรรคการเมืองที่จะเข้าไปมีส่วนสำคัญในการกำหนดกติกาการเมืองหลังเลือกตั้ง เพื่อให้ความขัดแย้งหมดไป แบบ รู้แพ้ รู้ชนะ
พรรคที่จะเป็นตัวกำหนดว่า หลังเลือกตั้งปัญหาประเทศไทยทุกอย่างจะจบหรือไม่ คนกรุงเทพฯ รู้ดีว่า มีแค่สองพรรคคือ เพื่อไทย กับ ประชาธิปัตย์ เท่านั้น พรรคอื่นๆ เป็นแค่ตัวประกอบในการวางอนาคตประเทศไทยหลังเลือกตั้งเท่านั้น
**ด้วยเหตุนี้ การชูคำขวัญ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ของ สุวัจน์ จึงไม่เปรี้ยงปร้าง โยนไปแล้ว คนกรุงเทพฯ ไม่ตื่นเต้น ทั้งที่ถือเป็นประเด็นการหาเสียงเลือกตั้งที่เข้าใจง่าย และคนเห็นด้วย แต่เมื่อพรรคสุวัจน์ เล่นประเด็นนี้ คนไม่แน่ใจ ผลก็เลย แนวคิดดี แต่ขายไม่ออก
ขณะที่ตัวผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต พบว่าเปิดตัวมาแล้วไม่ติดตลาด ชื่อไม่อยู่ระดับตัวเต็ง กลายเป็น ไม้ประดับเสียมากกว่า ทั้ง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่จะลงใน เขต 13 สายไหม หรือเขต 11 หลักสี่-ดอนเมือง ที่ส่งน.ส.เยาวภา บุรพลชัย อดีตนักเทควันโด เหรียญทองแดงโอลิมปิก รวมถึง โสภณ ดำนุ้ย หรือ มิสเตอร์หลินปิง อดีต ผอ.องค์การสวนสัตว์ ที่ลงเขต 5 ดุสิต-ราชเทวี
อย่างไรก็ตาม เมื่อลงแล้วก็ขอต้องสู้เต็มที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ ชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา ผอ.เลือกตั้งกทม. ที่อยู่กับ สุวัจน์มาตั้งแต่ชาติพัฒนาคงต้องใช้กลยุทธ์หลายอย่าง หากคิดจะเบียดปชป.-พท.รวมถึงการขอคะแนนปาร์ติ้ลิสต์ด้วย
ด้านพรรคเล็กน้องใหม่ “รักษ์สันติ” ที่มีปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์หนึ่ง ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ดูแล้วก็เห็นได้เลยว่า รักษ์สันติ –ปุระชัย หวังคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ในกทม.เป็นหลัก เพื่อทำให้ได้ ส.ส.อย่างน้อยสัก 1-2 คน
ส่วนระบบเขต ที่หวังมากสุดคงไม่พ้น นพ.ประจวบ อึ้งภากรณ์ อดีต ส.ส.ไทยรักไทยสองสมัย ที่ลงเขต 5 ดุสิต-ราชเทวี แข่งกับ โสภณ ดำนุ้ย แต่สองตัวหลักจริงๆ ก็คือ น.ส. จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี จากปชป. กับ.ลีลาวดี วัชโรบล ของเพื่อไทย
อีกหนึ่งพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ “พรรคภูมิใจไทย” ส่งคนเดียว และหวังไว้ว่าต้องได้ ก็คือ “ศุภมาศ อิศรภักดี” อดีต ส.ส.กทม.ไทยรักไทย สองสมัย ที่ ขอลงแก้มือ เขต 11 หลังพ่ายแพ้ยับเยินตอนอยู่พรรคพลังประชาชนที่เป็นเขตใหญ่
พอลงเขตเดียวเบอร์เดียว “เจ๊ผึ้ง” มั่นใจว่าสูสี แม้จะรู้ดีว่าภาพลักษณ์ของภูมิใจไทย ขายได้ยากในกทม. เอาแค่เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี เช่าแพงกว่าซื้อก็หนักแล้ว แต่ “เจ๊ผึ้ง” คงมั่นใจว่า ดีกรีอดีตส.ส.สองสมัย และลงพื้นที่ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา พ่วงกับที่มีน้องสาวเป็น ส.ก.อิสระหนึ่งเดียว ที่ไม่มีพรรคสังกัดแล้วเอาชนะทั้งเพื่อไทย และประชาธิปัตย์มาได้
จึงน่าจะทำให้การลงสมัครรอบนี้แม้ภูมิใจไทยจะไม่มีกระแสพรรค-ขาดฐานเสียงจัดตั้งของพรรค แต่วัดกันตัวต่อตัวแล้ว น่าจะสู้คู่แข่งสำคัญคือ “สกลธี ภัทธิยกุล” จากปชป.ลูกชาย พลเอกวินัย ภัทธิยกุล ได้ ส่วนเพื่อไทยแม้จะส่ง สุรชาติ เทียนทอง ลูกเสนาะ ลงแต่ยังไม่ใช่ตัวยืนของเขตนี้
ปิดท้าย ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ มาในนาม “พรรครักประเทศไทย” รายนี้กลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือ ข้ามาคนเดียว ขอเพียงคนเดียวเข้าสภาไปเป็นฝ่ายค้าน ก็พอแล้ว ไม่เอาระบบเขต และเชื่อว่าน่าจะได้เสียงจากต่างจังหวัดด้วยซ้ำไป แต่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ในกทม.ของ ชูวิทย์ ยังดูไม่ออกว่าจะไปตัดปชป.หรือ พท. แต่น่าจะเป็นกลุ่ม 50 กว่าเปอร์เซนต์ ที่ยังไม่ตัดสินใจมากที่สุด
**รักใคร ชอบใคร 3 ก.ค.54 เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น