ASTVผู้จัดการรายวัน – เผยยอดนักลงทุนญี่ปุ่น-ไทยพุ่ง 30-40% หลังภัยแผ่นดินไหวสร้างปัญหาหนัก ขณะนักลงทุนเล็งย้ายฐานผลิตจากเวียดนาม จีน ซบไทย หลังประสบปัญหาสาธารณูปโภคใน จีน-เวียดนามไม่พร้อม ด้าน“อมตะ”เผยเตรียมตั้งบริษัทร่วมทุน Holley Industry หวังดึงนักลงทุนจีนซื้อที่ดินในนิคมตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น และเกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่องนับจากนั้นมา ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจกับภัยที่เกิดขึ้นจึงย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากมีนักลงทุนเข้ามาดูที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลัก
นอกจากนี้นักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนและเวียดนาม เริ่มประสบปัญหาทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบโลจีสติกส์ และที่สำคัยปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ภาษี การถือครองที่ดิน ที่ไม่มีความชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย อาทิ Ricos ย้ายจากจีนมาไทย ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามาเจรจาและขอเยียมชมนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น 30-40%
“ไทยในสายตาของนักลงทุน ถือว่ามีศักยภาพทั้งในเรื่องของระบบสาธารณูปโภค โลจีสติกส์ แรงงาน ชีวิตความเป็นอยู่ แต่เค้าติงอยู่เรื่องเดียว คือ ความผันผวนและความรุนแรงทางการเมือง จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย” นายวิบูลย์กล่าว
สำหรับยอดขายที่ดินในนิคมอุตสหากรรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และ นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ประมาณ 300-400 ไร่ ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีจำนวน 246 ไร่ หรือมูลค่า 648 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,900 ล้านบาท โดยมาจากการขายที่ดินในนิคมฯอมตะนคร 900 ล้านบาท และอมตะซิตี้ 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายมาก เพราะเป็นการบันทึกรายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะสามารถรับรู้ได้เมื่อมีการโอน ซึ่งยอดขายที่เหลือจำนวน 1,900 ล้านบาท จะเร่งโอนให้ได้ภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มโอนได้หลังจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการร่วมมือกับ Holley Industry Group ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศจีนในการจัดหานักลงทุนเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ โดยก่อนหน้านี้ได้ซื้อที่ดินไปแล้ว 600 ไร่ ปัจจุบันการก่อสร้างโรงงานดำเนินการไปแล้ว 90% และที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลจีนเดินทางเข้ามาดูงานหลายราย และให้การยอมรับอมตะมากยิ่งขึ้น
“การเริ่มต้นที่ 600 ไร่ของ Holley ถือเป็นส่วนน้อย เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีนักลงทุนจากจีนไหลบ่ามาที่ไทยอีกจำนวนมาก เพราะมีจำนวนมากที่ต้องการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้นเราจึงได้ร่วมทุนกับ Holley ในสัดส่วน 51 : 49 จัดตั้งบริษัทขึ้นมา ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นจดทะเบียน เพื่อทำหน้าที่หาลูกค้าจากจีนมาลงทุนที่อมตะ โดยคาดว่าภายในปีนี้จะต้องมีความชัดเจนหรือมีการเจรจาซื้อที่ดินอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่”
ปัจจุบันอมตะมีที่ดินรอขายประมาณ 13,000 -14,000 ไร่ จากนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ประมาณ 8,000-9,000 ไร่ และอมตะซิตี้ 5,000 ไร่ ซึ่งเพียงพอต่อการขยายตัวไปอีกระยหนึ่ง อย่างไรก็ตามบริษัทได้กันพื้นที่บางส่วนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต รวมถึงแผนปรับเพิ่มรายได้จากการให้บริการ น้ำ ไฟฟ้า โรงงานสำเร็จรูป และอื่นๆ ขึ้นปีละ 10-20% โดยมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นถึง 80% และอีก 20% มาจากรายได้การขาย เมื่อที่ดินของบริษัทใกล้หมด ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากทั้งสองส่วน 50: 50
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น และเกิดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่องนับจากนั้นมา ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจกับภัยที่เกิดขึ้นจึงย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากมีนักลงทุนเข้ามาดูที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลัก
นอกจากนี้นักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนและเวียดนาม เริ่มประสบปัญหาทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบโลจีสติกส์ และที่สำคัยปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ภาษี การถือครองที่ดิน ที่ไม่มีความชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย อาทิ Ricos ย้ายจากจีนมาไทย ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามาเจรจาและขอเยียมชมนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น 30-40%
“ไทยในสายตาของนักลงทุน ถือว่ามีศักยภาพทั้งในเรื่องของระบบสาธารณูปโภค โลจีสติกส์ แรงงาน ชีวิตความเป็นอยู่ แต่เค้าติงอยู่เรื่องเดียว คือ ความผันผวนและความรุนแรงทางการเมือง จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย” นายวิบูลย์กล่าว
สำหรับยอดขายที่ดินในนิคมอุตสหากรรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และ นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ประมาณ 300-400 ไร่ ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีจำนวน 246 ไร่ หรือมูลค่า 648 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,900 ล้านบาท โดยมาจากการขายที่ดินในนิคมฯอมตะนคร 900 ล้านบาท และอมตะซิตี้ 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายมาก เพราะเป็นการบันทึกรายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะสามารถรับรู้ได้เมื่อมีการโอน ซึ่งยอดขายที่เหลือจำนวน 1,900 ล้านบาท จะเร่งโอนให้ได้ภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มโอนได้หลังจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการร่วมมือกับ Holley Industry Group ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศจีนในการจัดหานักลงทุนเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ โดยก่อนหน้านี้ได้ซื้อที่ดินไปแล้ว 600 ไร่ ปัจจุบันการก่อสร้างโรงงานดำเนินการไปแล้ว 90% และที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลจีนเดินทางเข้ามาดูงานหลายราย และให้การยอมรับอมตะมากยิ่งขึ้น
“การเริ่มต้นที่ 600 ไร่ของ Holley ถือเป็นส่วนน้อย เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีนักลงทุนจากจีนไหลบ่ามาที่ไทยอีกจำนวนมาก เพราะมีจำนวนมากที่ต้องการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้นเราจึงได้ร่วมทุนกับ Holley ในสัดส่วน 51 : 49 จัดตั้งบริษัทขึ้นมา ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นจดทะเบียน เพื่อทำหน้าที่หาลูกค้าจากจีนมาลงทุนที่อมตะ โดยคาดว่าภายในปีนี้จะต้องมีความชัดเจนหรือมีการเจรจาซื้อที่ดินอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่”
ปัจจุบันอมตะมีที่ดินรอขายประมาณ 13,000 -14,000 ไร่ จากนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ประมาณ 8,000-9,000 ไร่ และอมตะซิตี้ 5,000 ไร่ ซึ่งเพียงพอต่อการขยายตัวไปอีกระยหนึ่ง อย่างไรก็ตามบริษัทได้กันพื้นที่บางส่วนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต รวมถึงแผนปรับเพิ่มรายได้จากการให้บริการ น้ำ ไฟฟ้า โรงงานสำเร็จรูป และอื่นๆ ขึ้นปีละ 10-20% โดยมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นถึง 80% และอีก 20% มาจากรายได้การขาย เมื่อที่ดินของบริษัทใกล้หมด ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากทั้งสองส่วน 50: 50
