xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ภารกิจ “ยิ่งลักษณ์” ไม่แก้แค้น=แก้แค้น ไม่นิรโทษกรรม=นิรโทษกรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงต้องกล่าวว่า “เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง” ที่ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชายตัดสินใจส่งน้องสาวสุดที่รัก “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” คุณแม่ของน้องไปป์-ศุภเสกข์ ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของ “อนุสรณ์ อมรฉัตร” ลงปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแข่งกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แห่งพรรคประชาธิปัตย์

เนื่องเพราะการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้นั้น มีความหมายยิ่งสำหรับทุกองคาพยพภายใต้การบัญชาการของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”

ถ้าหาก “พรรคเพื่อไทย” ชนะการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ พันธนาการทั้งหลายทั้งปวงที่ร้อยรัด นช.ทักษิณ ก็จะคลี่คลายลง แม้จะไม่หมดสิ้นร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธนาการในเรื่องคดีความและการกลับคืนสู่ประเทศไทยของ นช.ทักษิณ ตลอดรวมถึงคดีความของบรรดาแกนนำ “คนเสื้อแดง”

และที่สำคัญคือความเป็นยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวของนายใหญ่จะทำให้ความแตกแยกภายใต้พรรคเพื่อไทยที่กำลังเตะตัดกันเองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งแม่ทัพหมดไปโดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่นายใหญ่ตัดสินใจเลือก “นายหญิงคนใหม่” ให้กับม้าในคอกของตนเอง ทั้งคอกพรรคเพื่อไทยและคอกคนเสื้อแดง เนื่องเพราะเขาคิดว่า ด้วยบุคลิกและความเป็นผู้หญิงของยิ่งลักษณ์จะส่งผลทำให้แผนการที่วาดหวังเอาไว้ไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก”

นี่คือ “ไพ่” ที่นายใหญ่ทุ่มสุดชีวิตเพื่อเกมชิงบ้านชิงเมืองในครั้งนี้ โดยมี “ชีวิต” และ “เลือดเนื้อ” ของน้องสาวสุดที่รักเป็นเดิมพัน

**โคลนนิงจากพี่ชายทุกกระเบียดนิ้ว

ในความเป็นจริงแล้ว ชื่อของ ปู-ยิ่งลักษณ์ได้เคยปรากฏเป็นแคนดิเดตในการสืบทอดตำแหน่ง “ทายาทอสูร” ของผู้เป็นพี่ชายมาเป็นระยะๆ แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวมีอันต้องชะงักงันลงไป

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นแม่ทัพเบอร์ 1 แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ต้องถือว่ายิ่งลักษณ์ทำงานอยู่เบื้องหลังมานานเช่นกัน โดยเฉพาะในยามที่มุ้งต่างๆ ทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว ยิ่งลักษณ์ก็เปรียบเสมือนโซ่ข้อกลางคอยไกล่เกลี่ยมาโดยตลอด เรียกว่าคุยกับยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ต่างจากคุยกับทักษิณเองด้วยซ้ำ ทั้งเรื่องนโยบาย ทิศทางพรรค

หรือจะเป็นเรื่องปากท้อง ยิ่งลักษณ์ก็เป็นเสมือนถุงเงินถุงทองตัวจริงเสียงจริงของพรรคเพื่อไทย เพราะด้วยธุรกิจต่างๆที่เธอกุมบังเหียนอยู่ ตำแหน่งแม่บ้านตัวจริงของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นฉายาที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

เช่นเดียวกับในกลุ่มคนเสื้อแดง ยิ่งลักษณ์ ก็ถือว่าสนิทชิดเชื้อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ ถึงขนาดในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงตามต่างจังหวัด เรียกยิ่งลักษณ์ ติดปากกันว่า "แม่ยิ่ง" กันเลยทีเดียว

แต่จะอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วหลังการเจรจาในทางลับด้วยการส่งขุนพลคนสำคัญไปปฏิบัติภารกิจเรื่องการปรองดอง รวมถึงพิจารณาบริบทรอบข้างประกอบการตัดสินใจ ทั้งความได้เปรียบ ความเสียเปรียบ ในที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มิอาจตัดสินใจเป็นอย่างอื่นใด ทั้งๆ ที่โดยเบื้องลึกแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์มิใช่คนในสายพันธุ์ที่จะเดินบนเส้นทางการเมืองได้ดังจะเห็นได้จากการที่ นช.ทักษิณมีคำสั่งให้ไปพบที่บรูไนเพื่อซักซ้อมความเข้าใจและแผนการ ตลอดรวมถึงทุกถ้อยแถลงก่อนประกาศตัวลงปาร์ตี้สิลต์เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทยเพียงแค่ 1 วัน

รวมทั้งการส่ง 2 บุคคลสำคัญคือ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” และ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” มาเป็นพี่เลี้ยงให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นกรณีพิเศษเพื่อเพิ่มเหลี่ยมคูทางการเมือง

ทั้งนี้ ความสำคัญของการส่ง “ยิ่งลักษณ์” เข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัวครั้งนี้คือ เดิมพันครั้งสำคัญของชีวิตพี่ชายสุดที่รักที่ชื่อ นช.ทักษิณเลยก็ว่าได้

แม้ไม่มียิ่งลักษณ์ ชัยชนะก็ไม่หนีไปไหนจากพรรคเพื่อไทย แต่การมียิ่งลักษณ์นั่งแท่นเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 คือหลักประกันชัยชนะของ นช.ทักษิณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

เพราะชื่อของยิ่งลักษณ์จะสยบทุกมุ้งของผู้ที่บังอาจมาท้าชิงเก้าอี้ตัวนี้โดยที่มิได้ถามเจ้าของพรรคตัวจริง ดังเช่นที่ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เคยเจอกับตัวเองมาแล้วจนในที่สุดก็ต้องยอมศิโรราบ

เพราะชื่อของยิ่งลักษณ์จะทำให้คนเสื้อแดงมีความมั่นใจว่า การเลือกพรรคเพื่อไทยที่มียิ่งลักษณ์เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 จะช่วยนำพาเจ้ามูลเมืองที่พวกเขาเคารพรักให้กลับคืนสู่ประเทศไทยได้
นช.ทักษิณมิได้สนใจว่าใครจะมองยิ่งลักษณ์ว่าเป็นนอมินีของเขาหรือไม่

นช.ทักษิณมิได้มองว่า การให้น้องสาวนั่งปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของพรรคจะทำให้คนมองว่า พรรคเพื่อไทยจัดตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของเขามากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ

นช.ทักษิณได้มองข้ามประเด็นดังกล่าวทั้งหลายทั้งปวงมาตั้งแต่ต้นเสียด้วยซ้ำไป เพราะมิฉะนั้นแล้วก่อนหน้านี้คงไม่เปิดตัวแคมเปญสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่สะท้อนความเป็นจริงของพรรคพรรคนี้ออกมาว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ออกมาอย่างแน่นอน

เหตุที่นช.ทักษิณมั่นใจเช่นนั้น เป็นเพราะเขาได้ปูฐานและปูความรับรู้ของมวลชนคนรักทักษิณ มวลชนคนเสื้อแดงมาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า เขาคือผู้นำตัวจริงของทั้งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงดังนั้น ไม่ว่า นช.ทักษิณจะตัดสินใจทำอะไรหรือประกาศนโยบายอะไร “ประชาชนของเขา” ก็รับได้และพร้อมที่จะเลือกใครก็ได้ที่นายใหญ่ส่งลงสนามเลือกตั้ง

“ผมบอกเลยว่า ไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่า เป็นโคลนนิงของทักษิณเลย ผมโคลนนิงการบริหารให้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม จับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด อีกข้อสำคัญหนึ่งก็คือ การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยสออโน นี่พูดแทนผมได้เลย”พี่ชายผู้แสนดีกล่าวถึงน้องสาวสุดที่รักอย่างไม่อ้อมค้อม

ขณะเดียวกันการตัดสินใจด้วยการส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ครั้งนี้ อาจตีความหมายไปในอีกทางหนึ่งด้วยว่า แท้ที่จริงแล้ว นช.ทักษิณ “ไม่ไว้ใจใคร” ที่จะมาทำหน้าที่นี้ ดังที่มีบทเรียนมาแล้วกับ “นายสมัคร สุนทรเวช”

ไม่ไว้ใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้

ไม่ไว้ใจ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่ไว้ใจนายมิ่งขวัญ์ แสงสุวรรณ์ และไม่ไว้ใจ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
เพราะในความเป็นจริงแล้ว พรรคนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์วานว่านเครือตระกูลชินวัตรอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า การเปิดตัวและเปิดหน้าท้าชนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้ มิได้ดำเนินไปอย่างมุทะลุดุดัน หากแต่มีความระมัดระวังในทุกฝีก้าวที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยและความรู้สึกของสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การนิรโทษกรรม” ผู้เป็นที่ชาย ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบคำถามเอาไว้อย่างชาญฉลาด ชนิดที่ต้องบอกว่า เตรียมการมาดี

“ประเทศไทยยึดหลักนิติธรรม การทำอะไรนั้นเชื่อว่า พรรคคงไม่อนุญาตให้ทำอะไรเพื่อคนคนเดียว แต่จะต้องคำนึงถึงความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพของทุกคนที่อาสามาทำงาน ต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ อันดับแรกต้องให้ประชาชนไปเลือกตั้งก่อน ซึ่งคนเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรค ที่ประชาชนตัดสินแล้วว่า จะให้มาบริหารประเทศ จะเป็นผู้ตอบคำถามนี้”

คำกล่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แปลความหมายได้อย่างตรงตัวว่า ขอให้ชนะการเลือกตั้งก่อนแล้วเรื่องนิรโทษกรรม นช.ทักษิณค่อยมาว่ากัน

แต่ถ้าหากวิเคราะห์คำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ลึกก็จะเห็นภาพเชิงซ้อนที่เป็นคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์เจตนาที่จะใช้คำว่า “คนเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรค ที่ประชาชนตัดสินแล้วว่า จะให้มาบริหารประเทศ จะเป็นผู้ตอบคำถามนี้” ซึ่งนั่นหมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอให้เสียงของประชาชนที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งเที่ยวนี้เป็นเครื่องมือตัดสินอนาคตพี่ชายของตนเอง

ยิ่งเมื่อพิจารณาคำประกาศของ นช.ทักษิณที่บอกว่าจะกลับไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ก็ยิ่งเป็นที่แน่ชัดว่า การส่งนางสาวยิ่งลักษณ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมีจุดมุ่งหมายเพื่อสานต่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากยังไม่เห็นหนทางใดเลยที่ นช.ทักษิณจะกลับประเทศไทยได้ หากไม่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม

“สิ่งแรกที่พรรคต้องดำเนินการ ไม่ใช่นิรโทษกรรม ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ ซึ่งการนิรโทษกรรมต้องมองย้อนไปตั้งแต่เหตุการณ์ 19 ก.ย.ปฏิวัติที่ผ่านมา ซึ่งทุกฝ่ายต้องมานั่งคุยกัน ดูความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เสมอภาคทุกภาคส่วน และอาจมีคณะกรรมการส่วนกลางขึ้นมาดูแล สุดท้ายผู้ชี้ขาดคือ ประชาชน ส่วนเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนหนึ่งในประชาชนที่ต้องพิจารณาด้วย ไม่มีสิทธิพิเศษ ตนเองก้าวเข้ามาในพรรคเพื่อไทย ต้องการมาทำงานให้กับสังคม และทางพรรคไม่ยินยอมหากเข้ามาดำเนินการเพียงคนเดียว เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ บทสรุปสุดท้ายคือ ประชาชนเป็นผู้กำหนดชี้ขาด เช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งนี้”น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดเปิดทางเรื่องการนิรโทษกรรมให้กับพี่ชายเอาไว้อย่างมีเงื่อนงำ

**ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข
“พี่แม้ว” คิด “น้องปู” พูด
 

“หลังรัฐประหาร 2549 มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของการเมืองเป็นอย่างดี แม้ผ่านมา 5 ปี ประชาชนยังคิดถึงพี่ชายและนโยบายเก่าๆ จึงรู้สึกว่าครอบครัวเป็นหนี้ประชาชน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ที่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง ไม่ได้เข้ามาเล่นการเมือง แต่เสนอตัวมารับใช้ประชาชน อยากเห็นประเทศมองข้ามความขัดแย้งแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และอยากเห็นความสามัคคีปรองดองในชาติ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่า พรรคพร้อมสร้างความปรองดอง ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ประชาชน”

คงต้องยอมรับว่า ประโยคที่เด็ดที่สุดในการแสดงวิสัยทัศน์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในการเปิดตัวเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 แห่งพรรคเพื่อไทย เพื่อท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็คือคำพูดที่ว่า “ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข” เพราะนั่นคือคำพูดที่แสดงให้เห็นทิศทางในการต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยและ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายได้เป็นอย่างดี

เป็นการส่งสัญญาณจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อศัตรูทางการเมืองของพี่ชายว่า แม้จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ก็จะไม่ล้างแค้นศัตรูทางการเมืองที่กระทำต่อพี่ชายของเธออย่างหนักหนาสาหัสในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

เป็นการส่งสัญญาณว่าจะไม่มี “การเผาบ้านเผาเมือง” และก่อความรุนแรงทั้งบนดินและใต้ดินเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งนั่นก็สอดรับการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงล่าสุดที่จะเห็นว่าในระยะหลังมีการเคลื่อนไหวที่อยู่ในร่องในรอยมากขึ้น รวมถึงกระทั่งสีเสื้อที่มิได้เข้มข้นและหนักหน่วงว่าจะต้องใส่ “เสื้อแดง” เป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เหมือนเช่นที่ผ่านมา

เรียกว่า เดินหน้าเข้าสู่โหมดการปรองดองอย่างเต็มตัว และต้องถือว่าเป็นยุทธศาสตร์เพื่อรองรับสู่การก้าวขึ้นสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยอย่างสวยสดงดงาม

อย่างไรก็ตาม หากถามว่า ต้นตอของแนวคิด “ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข” มีที่มาและที่ไปอย่างไร
คำตอบเป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่า กลั่นมาจากมันสมองของผู้เป็นพี่ชาย

เพราะก่อนหน้าที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะประกาศแนวคิดนี้เพียงแค่ 1 วันคือวันที่ 15 พฤษภาคม เธอได้รับคำสั่งให้บินไปบรูไนเพื่อเข้ารับการติวเข้มจาก นช.ทักษิณโดยตรง ถึงขนาดว่าที่นั่งชั้น เฟิร์สคลาส ชั้นบิสซิเนสคลาสเต็ม ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยยังต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งในชั้นอีโคโนมีคลาสเพื่อการครั้งนี้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ เมื่อได้ตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์พิเศษของ นช.ทักษิณที่มีต่อหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ที่ประเทศบรูไนก็ยิ่งเห็นแนวคิดดังกล่าวชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“มันต้องมีวันจบ ถ้าหากว่าคนที่เจ็บแล้วแค้นก็ไม่จบ แต่ถ้าคนที่เจ็บเป็นคนที่ยอมก่อน แนวโน้มการจบมันก็จะเยอะกว่า ดังนั้น พรรคเพื่อไทยก็ดี คนเสื้อแดงก็ดีต้องยอมรับว่าทุกอย่างที่ผ่านไป มันเจ็บ แต่มันต้องมีวันจบ เมื่อมีวันจบคือต้องหันหน้าเข้าหากัน มุ่งสู่โหมดที่ทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประชาธิปไตย ผมมองโลกในแง่ดีว่าเราควรจะหันหน้าเข้าหากัน เพื่อให้เกิดความปรองดองสักที คนที่เป็นรัฐบาลถ้าแพ้ก็ต้องยอมแพ้”นั่นคือคำกล่าวของ นช.ทักษิณ

แต่ถามว่า มีใครเชื่อว่า นช.ทักษิณล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
คำตอบคือไม่มีใครเชื่อ เพราะถ้า นช.ทักษิณต้องการให้เรื่องจบจริงๆ ประเทศไทยคงไม่เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง

หากแต่ในครั้งนี้ เขาจำเป็นที่จะต้องกลืนเลือดหากต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอีกครั้ง

เพราะสำหรับ นช.ทักษิณแล้ว คำว่าล้างแค้น แม้เวลาผ่านไป 10 ปีก็ยังไม่สาย และคนคนเดียวที่จะมาสางความแค้นให้ได้ก็คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
กำลังโหลดความคิดเห็น