ASTVผู้จัดการรายวัน- “ส.อ.ท.” เผยการเลือกตั้งส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และหากทุกฝ่ายยอมรับกติกาเพื่อนำไปสู่ความปรองดองได้จะส่งผลให้ไทยจะสามารถก้าวไปข้างหน้าหลังจากที่ย่ำอยู่กับที่มานาน ฝากรัฐบาลใหม่ดูแลเงินเฟ้อและความเป็นอยู่ประชาชนในทางสร้างสรรค์ ขณะที่อุตฯยานยนต์ปีนี้คาดจะขยายตัวต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.8 ล้านคัน
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนเมษายน 2554 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 106.6 จากระดับ 102.3 ในเดือนมีนาคม เนื่องจาก ยอดคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศยังคงขยายตัวขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยังจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้นหากเลือกตั้งผู้ชนะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามระบอบประชาธิปไตยทุกฝ่ายยอมรับกติกาก็จะทำให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้า
“ รัฐบาลที่เอกชนอยากเห็นที่สุด คือ ต้องเป็นรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นผู้นำ สามารถประสานได้ทุกกลุ่มการเมือง และเน้นเรื่องการปรองดอง ความสามัคคี โดยเฉพาะช่วงหลังการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อยากให้ลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น”นายพยุงศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคนั้นต้องการให้เน้นปฏิบัติได้จริงและนโยบายประชานิยมก็ควรจะดูความเหมาะสมให้รายจ่ายสมดุลกับรายรับด้วยเพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจระยะยาวสุดท้ายประชาชนคือผู้ลำบาก นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องดูแลเรื่องเงินเฟ้อเป็นพิเศษ เพราะในหลายประเทศกำลังเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่วนประเทศไทยเองแม้ว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับ 3% แต่ก็ต้องระมัดระวังและคอยจับตาดูให้ดี
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า การเลือกตั้งเชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามส่วนของการผลิตรถยนต์ปี 2554 ที่ตั้งเป้าไว้ระดับ 1.8 ล้านคันคงจะลดลงมาอยู่ระดับ 1.6 ล้านคันเนื่องจากกำลังผลิตได้ลดลง 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 7-8 หมื่นล้านบาท จากกรณีแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นจนส่งผลกระทบในเรื่องการขาดแคลนชิ้นส่วน
“ เดือนมิ.ย.นี้คาดว่ากำลังการผลิตจะทยอยกลับมาแล้วและจะเริ่มเห็นการทำงานล่วงเวลาหรือโอที แต่ก็จะต้องติดตามดูชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นว่าจะมีเพียงพอหรือไม่ในบางชิ้น ซึ่งหากมีเพียงพอก็อาจจะทำให้การผลิตปรับตัวดีขึ้น เพราะกำลังซื้อในประเทศยังมีอยู่”นายศุภรัตน์กล่าว
สำหรับเดือนเมษายน 2554 มียอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 67,283 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 27.66% ส่วนการผลิตมีจำนวน 89,179 คัน ลดลงจากจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 48.15 %เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ สึนามิและแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ส่วนการส่งออก 52,191 คัน ลดลงจาก เดือนมีนาคมที่ผ่านมา 39.05% เนื่องจากเดือนเมษายนมีวันทำงานน้อย
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนเมษายน 2554 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 106.6 จากระดับ 102.3 ในเดือนมีนาคม เนื่องจาก ยอดคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศยังคงขยายตัวขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยังจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้นหากเลือกตั้งผู้ชนะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามระบอบประชาธิปไตยทุกฝ่ายยอมรับกติกาก็จะทำให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้า
“ รัฐบาลที่เอกชนอยากเห็นที่สุด คือ ต้องเป็นรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นผู้นำ สามารถประสานได้ทุกกลุ่มการเมือง และเน้นเรื่องการปรองดอง ความสามัคคี โดยเฉพาะช่วงหลังการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อยากให้ลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น”นายพยุงศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคนั้นต้องการให้เน้นปฏิบัติได้จริงและนโยบายประชานิยมก็ควรจะดูความเหมาะสมให้รายจ่ายสมดุลกับรายรับด้วยเพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจระยะยาวสุดท้ายประชาชนคือผู้ลำบาก นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องดูแลเรื่องเงินเฟ้อเป็นพิเศษ เพราะในหลายประเทศกำลังเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่วนประเทศไทยเองแม้ว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับ 3% แต่ก็ต้องระมัดระวังและคอยจับตาดูให้ดี
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า การเลือกตั้งเชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามส่วนของการผลิตรถยนต์ปี 2554 ที่ตั้งเป้าไว้ระดับ 1.8 ล้านคันคงจะลดลงมาอยู่ระดับ 1.6 ล้านคันเนื่องจากกำลังผลิตได้ลดลง 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 7-8 หมื่นล้านบาท จากกรณีแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นจนส่งผลกระทบในเรื่องการขาดแคลนชิ้นส่วน
“ เดือนมิ.ย.นี้คาดว่ากำลังการผลิตจะทยอยกลับมาแล้วและจะเริ่มเห็นการทำงานล่วงเวลาหรือโอที แต่ก็จะต้องติดตามดูชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นว่าจะมีเพียงพอหรือไม่ในบางชิ้น ซึ่งหากมีเพียงพอก็อาจจะทำให้การผลิตปรับตัวดีขึ้น เพราะกำลังซื้อในประเทศยังมีอยู่”นายศุภรัตน์กล่าว
สำหรับเดือนเมษายน 2554 มียอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 67,283 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 27.66% ส่วนการผลิตมีจำนวน 89,179 คัน ลดลงจากจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 48.15 %เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ สึนามิและแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ส่วนการส่งออก 52,191 คัน ลดลงจาก เดือนมีนาคมที่ผ่านมา 39.05% เนื่องจากเดือนเมษายนมีวันทำงานน้อย