นางภิรมย์ เศาภายน กรรมการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 155.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 147.88 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,948% เนื่องจากมีกำไรขั้นต้นในไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 103.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 118.20 % ซึ่งอัตรากำไรขึ้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 3.32% เป็น 5.21% เนื่องจากราคาเหล็กมีการปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับบริษัทฯมีการบริหารจัดการที่ดีกว่าเดิมและมีการลงทุนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ต้นทุนลดลง ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
โดยไตรมาสนี้บริษัท มีรายได้จากการขายและการให้บริการ เท่ากับ 3,666.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,247.22 ล้านบาท
คิดเป็น 51.56% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับความต้องการใช้เหล็กเพื่อการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายหลังเกิดภัยธรรมชาติจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้ของบริษัท เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่รายได้อื่นก็เพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสำหรับการรับรู้อนุพันธ์จากเดิมที่ไม่ได้รับรู้อนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าวเป็นรับรู้อนุพันธ์ทางการเงิน โดยกลุ่มบริษัทมีการวัดค่าอนุพันธ์ทางการเงินแต่ละประเภทใหม่ส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้รายได้อื่นเพิ่มขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นตาม เพราะค่าใช้จ่ายเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารจัดการผันแปร
ไปตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนทางการเงินขยับเพิ่มขึ้นเกือบ 63% ส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสำหรับการรับรู้อนุพันธ์จากเดิมที่ไม่ได้รับรู้อนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าวเป็นรับรู้อนุพันธ์ทางการเงินโดยกลุ่มบริษัทมีการวัดค่าอนุพันธ์ทางการเงินแต่ละประเภทใหม่ส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้ต้นทุนทางการเงินอื่นเพิ่มขึ้น
โดยไตรมาสนี้บริษัท มีรายได้จากการขายและการให้บริการ เท่ากับ 3,666.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,247.22 ล้านบาท
คิดเป็น 51.56% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับความต้องการใช้เหล็กเพื่อการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายหลังเกิดภัยธรรมชาติจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้ของบริษัท เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่รายได้อื่นก็เพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสำหรับการรับรู้อนุพันธ์จากเดิมที่ไม่ได้รับรู้อนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าวเป็นรับรู้อนุพันธ์ทางการเงิน โดยกลุ่มบริษัทมีการวัดค่าอนุพันธ์ทางการเงินแต่ละประเภทใหม่ส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้รายได้อื่นเพิ่มขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นตาม เพราะค่าใช้จ่ายเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารจัดการผันแปร
ไปตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนทางการเงินขยับเพิ่มขึ้นเกือบ 63% ส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสำหรับการรับรู้อนุพันธ์จากเดิมที่ไม่ได้รับรู้อนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าวเป็นรับรู้อนุพันธ์ทางการเงินโดยกลุ่มบริษัทมีการวัดค่าอนุพันธ์ทางการเงินแต่ละประเภทใหม่ส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้ต้นทุนทางการเงินอื่นเพิ่มขึ้น