บุรีรัมย์ - ชลประทานบุรีรัมย์นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เร่งผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำ“ห้วยตลาด” เติม “อ่างห้วยจระเข้มาก” แหล่งน้ำดิบผลิตประปาที่ใกล้แห้งขอดสุดในรอบ 10 ปี ผวาเกิดวิกฤตขาดแคลนน้ำผลิตประประหล่อเลี้ยงเมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราช ร่วม 2 หมื่นครัวเรือน วันละกว่า 40,000 ลบ.ม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลายจังหวัดของประเทศไทยมีฝนตกหนักประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังประสบปัญหาแล้งวิกฤต โครงการชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ได้นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่จำนวน 3 เครื่อง เร่งสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด มาเติมใส่อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร (กม.) หลังปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาที่สำคัญหล่อเลี้ยงประชาชนในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราช เหลือเพียงกว่า 5.2 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากขนาดความจุอ่างกว่า 26 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้หากไม่ทำการสูบผันน้ำมาเติม ปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากจะสามารถใช้ผลิตประปาได้อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น จึงเกรงว่าจะเกิดภาวะวิกฤตขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคเพราะไม่มีน้ำดิบผลิตประปาให้บริการประชาชนได้ตลอดฤดูแล้งปีนี้ ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ใช้น้ำในเขต 2 อำเภอ มี อ.เมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ร่วม 20,000 ครัวเรือน
โครงการชลประทาน จะดำเนินการสูบน้ำเติมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากดังกล่าววันละ 20 ชั่วโมง(ชม.) หรือวันละกว่า 40,000 ลบ.ม. ซึ่งเบื้องต้นมีเป้าหมายจะสูบผันน้ำ จำนวน 1,500,000 ลบ.ม.หากไม่เพียงพอก็จะสูบเพิ่มเติมอีก เพื่อสำรองไว้เป็นน้ำดิบให้การประปาส่วนภูมิภาค ใช้ผลิตน้ำประปาบริการประชาชน
นายยงศักดิ์ ประภาพันธ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดที่สูบมาเติมในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากดังกล่าวถือว่ามีปริมาณน้อยกว่าทุกปี เพียง 5.8 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ถึงแม้ทั้ง 2 อ่างโครงการชลประทานฯ ได้งดปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรรอบเขตบริการแล้วก็ตาม สาเหตุที่น้ำในอ่างมีปริมาณน้อยเนื่องจากปีที่ผ่านมามีฝนตกน้อย และไม่ตกในพื้นที่รับน้ำจึงทำให้อ่างไม่มีน้ำกักเก็บมากอย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา
“ปริมาณน้ำ 2 แห่งทั้งอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดและห้วยจระเข้มาก ที่เหลืออยู่ในขณะนี้จะใช้ผลิตประปาได้อีกประมาณ 5 เดือนเท่านั้น หากไม่มีฝนตกลงมาและปริมาณน้ำในอ่างไม่เพิ่มขึ้นก็จะไม่มีน้ำดิบผลิตประปาอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้ร่วมกันใช้น้ำอย่างมีคุณค่าและประหยัด เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในช่วงหน้าแล้งนี้ด้วย”นายยงศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลายจังหวัดของประเทศไทยมีฝนตกหนักประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังประสบปัญหาแล้งวิกฤต โครงการชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ได้นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่จำนวน 3 เครื่อง เร่งสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด มาเติมใส่อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร (กม.) หลังปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาที่สำคัญหล่อเลี้ยงประชาชนในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราช เหลือเพียงกว่า 5.2 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากขนาดความจุอ่างกว่า 26 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้หากไม่ทำการสูบผันน้ำมาเติม ปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากจะสามารถใช้ผลิตประปาได้อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น จึงเกรงว่าจะเกิดภาวะวิกฤตขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคเพราะไม่มีน้ำดิบผลิตประปาให้บริการประชาชนได้ตลอดฤดูแล้งปีนี้ ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ใช้น้ำในเขต 2 อำเภอ มี อ.เมืองบุรีรัมย์ และ อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ร่วม 20,000 ครัวเรือน
โครงการชลประทาน จะดำเนินการสูบน้ำเติมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากดังกล่าววันละ 20 ชั่วโมง(ชม.) หรือวันละกว่า 40,000 ลบ.ม. ซึ่งเบื้องต้นมีเป้าหมายจะสูบผันน้ำ จำนวน 1,500,000 ลบ.ม.หากไม่เพียงพอก็จะสูบเพิ่มเติมอีก เพื่อสำรองไว้เป็นน้ำดิบให้การประปาส่วนภูมิภาค ใช้ผลิตน้ำประปาบริการประชาชน
นายยงศักดิ์ ประภาพันธ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดที่สูบมาเติมในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากดังกล่าวถือว่ามีปริมาณน้อยกว่าทุกปี เพียง 5.8 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ถึงแม้ทั้ง 2 อ่างโครงการชลประทานฯ ได้งดปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรรอบเขตบริการแล้วก็ตาม สาเหตุที่น้ำในอ่างมีปริมาณน้อยเนื่องจากปีที่ผ่านมามีฝนตกน้อย และไม่ตกในพื้นที่รับน้ำจึงทำให้อ่างไม่มีน้ำกักเก็บมากอย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา
“ปริมาณน้ำ 2 แห่งทั้งอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดและห้วยจระเข้มาก ที่เหลืออยู่ในขณะนี้จะใช้ผลิตประปาได้อีกประมาณ 5 เดือนเท่านั้น หากไม่มีฝนตกลงมาและปริมาณน้ำในอ่างไม่เพิ่มขึ้นก็จะไม่มีน้ำดิบผลิตประปาอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้ร่วมกันใช้น้ำอย่างมีคุณค่าและประหยัด เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในช่วงหน้าแล้งนี้ด้วย”นายยงศักดิ์ กล่าว
