นางสาวนิรมล ตันติพูนธรรม บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือDELTA แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ 54 (ม.ค-มี.ค 54) พบว่ามีกำไรสุทธิ 556.66 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 893.60 ล้านบาท หรือกำไรลดลง 336.94 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 37.70% เนื่องจากการลดลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาทและการตั้งสำรองสำหรับสินค้าคงเหลือที่เกิดจากการขายที่ลดลงของอินเวอร์เตอร์
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 20 % จาก 7,545 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 9,055 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายของโซลาร์อินเวอร์เตอร์ลดลงเนื่องจากตลาดในยุโรปมีสภาวะค่อนข้างซบเซาในช่วงเวลาดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายในไตรมาสนี้ได้รับการสนับสนุนจากการขายของผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ เพาเวอร์ซัพพลายสำหรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT ) สำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ( storage )
สำหรับภาคอุตสาหกรรมและระบบโทรคมนาคมซึ่งมีการเติบโตสูง ดังนั้น กลุ่มธุรกิจ DES จึงมีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสแรกของปีก่อนโดยมีการเพิ่มขึ้นของเพาเวอร์ซัพพลายประเภท Custom Design ที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ Data Center เป็นหลัก นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Pan PSBG และกลุ่มเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับอุตระบบโทรคมนาคม ก็มีอัตราเติบโตสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นกลุ่มละประมาณ 20 % เมื่อเทียบกับรายได้ของกลุ่มในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการขายและดำเนินงาน (SG&A)ที่ไม่รวมค่าวิจัยและพัฒนามีอัตราเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนอัตราค่าวิจัยและพัฒนาต่อยอดขายในไตรมาสนี้ลดล ซึ่งอัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ลดลงเพราะการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นซึ่งเมื่อประกอบกับการที่รายได้อื่นมีจำนวนลดลงเพราะการลดลงของกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน ซึ่งเกิดขึ้นในไตรมาสแรกปีก่อน 103.6 ล้านบาท จึงเป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ลดลง
พร้อมกันนี้ DELTA ยังแจ้งถึงบริษัท DET SGP Pte Ltd (บริษัทย่อยของบริษัทฯ 100% ) ถือหุ้นในบริษัท Delta Green ( Tianjin ) Industries Ltd หรือ DGTJ 50% ได้ขายเงินลงทุนหรือหุ้นสามัญใน DGTJ ซึ่้งบริษัทนี้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้กับ Delta Electronics (H.K.) Ltd. เป็นบริษัทย่อยของบริษัท Delta Electronics Inc. (DEI) และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ และถือหุ้น 20% ในราคาเสนอซื้อที่ 15,451,799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 471.28 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ประเมินมูลค่าเงินลงทุนด้วยวิธี Income Approach มูลค่าที่ได้คือ 15,053,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การขายเงินทุนดังกล่าว เพราะได้กำไรจากการลงทุนและบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักในปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงธุรกิจใหม่ที่จะพัฒนาขึ้นตามแผนที่วางไว้ในอนาคตและยังเป็นการใช้ทรัพยากรของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนและลงทุนในอนาคต
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 20 % จาก 7,545 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 9,055 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายของโซลาร์อินเวอร์เตอร์ลดลงเนื่องจากตลาดในยุโรปมีสภาวะค่อนข้างซบเซาในช่วงเวลาดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายในไตรมาสนี้ได้รับการสนับสนุนจากการขายของผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ เพาเวอร์ซัพพลายสำหรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT ) สำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ( storage )
สำหรับภาคอุตสาหกรรมและระบบโทรคมนาคมซึ่งมีการเติบโตสูง ดังนั้น กลุ่มธุรกิจ DES จึงมีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสแรกของปีก่อนโดยมีการเพิ่มขึ้นของเพาเวอร์ซัพพลายประเภท Custom Design ที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ Data Center เป็นหลัก นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Pan PSBG และกลุ่มเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับอุตระบบโทรคมนาคม ก็มีอัตราเติบโตสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นกลุ่มละประมาณ 20 % เมื่อเทียบกับรายได้ของกลุ่มในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการขายและดำเนินงาน (SG&A)ที่ไม่รวมค่าวิจัยและพัฒนามีอัตราเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนอัตราค่าวิจัยและพัฒนาต่อยอดขายในไตรมาสนี้ลดล ซึ่งอัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ลดลงเพราะการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นซึ่งเมื่อประกอบกับการที่รายได้อื่นมีจำนวนลดลงเพราะการลดลงของกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน ซึ่งเกิดขึ้นในไตรมาสแรกปีก่อน 103.6 ล้านบาท จึงเป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ลดลง
พร้อมกันนี้ DELTA ยังแจ้งถึงบริษัท DET SGP Pte Ltd (บริษัทย่อยของบริษัทฯ 100% ) ถือหุ้นในบริษัท Delta Green ( Tianjin ) Industries Ltd หรือ DGTJ 50% ได้ขายเงินลงทุนหรือหุ้นสามัญใน DGTJ ซึ่้งบริษัทนี้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้กับ Delta Electronics (H.K.) Ltd. เป็นบริษัทย่อยของบริษัท Delta Electronics Inc. (DEI) และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ และถือหุ้น 20% ในราคาเสนอซื้อที่ 15,451,799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 471.28 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ประเมินมูลค่าเงินลงทุนด้วยวิธี Income Approach มูลค่าที่ได้คือ 15,053,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การขายเงินทุนดังกล่าว เพราะได้กำไรจากการลงทุนและบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักในปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงธุรกิจใหม่ที่จะพัฒนาขึ้นตามแผนที่วางไว้ในอนาคตและยังเป็นการใช้ทรัพยากรของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนและลงทุนในอนาคต