คาดการณ์ไปในทางเดียวกันว่า น่าจะมีการยุบสภาภายในสัปดาห์นี้ ดังนั้นตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ทุกอย่างคงเริ่มลงตัวมากขึ้นสำหรับการเปิดตัวผู้สมัครส.ส.ระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งการย้ายพรรคเปลี่ยนค่ายของนักการเมืองในพรรคการเมืองต่างๆก็จะเห็นภาพชัด
รอบนี้ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาคือ การย้ายเข้าย้ายออกของนักการเมืองและการเปิดตัวหรือการจับมือกันของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ตั้งอยู่บนสูตรผลประโยชน์สามอย่างคือ
1.พรรคใหม่ที่จะย้ายไปอยู่ต้องให้ค่าตัวหรือเงินใช้จ่ายในการเลือกตั้งดีกว่าพรรคที่อยู่เดิม
2.ต้องมั่นใจว่ามีโอกาสจะได้เป็นพรรครัฐบาลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน เพราะไม่มีส.ส.คนไหนหรอกอยากเป็นฝ่ายค้าน
และ3.มีหลักประกันหรือคำมั่นสัญญาว่าหากย้ายมาแล้ว แม้สอบตกหรือสอบได้ หากพรรคได้เป็นรัฐบาลก็จะมีตำแหน่งการเมืองให้เช่น รัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการ-ที่ปรึกษารัฐมนตรี โฆษกกระทรวง หรือพวกบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ
ทั้ง 3 เงื่อนไขนี้ ยืนยันได้ว่าใช้กับทุกพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเล็กพรรคใหญ่ และคงด้วยเหตุนี้เลยทำให้ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า พวกส.ส.กิจสังคม 4- 5 คน จะย้ายออกจากอ้อมอกของ “สุวิทย์ คุณกิตติ” รมว.ทรัพยากรฯ ไปอยู่กับพรรค “ภูมิใจไทย”
ถึงตอนนี้ ปรากฏข่าวการย้ายของส.ส.กิจสังคมกลุ่มนี้เริ่มไม่แน่แล้ว ออกอาการแกว่งตัวไปตามราคาขึ้นลงของข้อเสนอที่เข้ามาใหม่ โดยถึงตอนนี้ก่อนวันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.กลุ่มกิจสังคมหลายคนเช่น “วารุจ ศิริวัฒน์” ส.ส.อุตรดิสถ์ “ชยุต ภุมมะกาญจนะ” ส.ส.ปราจีนบุรี ก็ยังมีแนวโน้มจะอยู่กับกิจสังคมต่อไป
เหตุเพราะเงื่อนไขต่างๆ ในการอยู่กับกิจสังคมและสุวิทย์ต่อไป ยังเป็นเงื่อนไขที่ดีกว่าย้ายไปพรรคอื่น ทั้งเรื่องเงินดูแลเลือกตั้งหรือความมั่นใจว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
อีกทั้ง ล่าสุดกลุ่มกิจสังคมนำโดย “สุวิทย์ คุณกิตติ” มีข่าวว่าได้เตรียมจับมือกับพรรค “พลังชล” ของตระกูล “คุณปลื้ม” ที่นำโดย “สนธยา คุณปลื้ม” เพื่อเป็นพันธมิตรกันทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง ในลักษณะการสร้างอำนาจการเมืองขั้วที่ 5
ซึ่งตอนนี้มีขั้วการเมืองปรากฏขึ้นกันแล้ว 4 กลุ่มหลักคือขั้วที่ 1เพื่อไทย, ขั้วที่ 2ประชาธิปัตย์ ตามด้วยขั้วของกลุ่มพรรคขนาดกลาง คือขั้วที่ 3 ที่เปิดตัวก่อนใครคือชาติไทยพัฒนากับภูมิใจไทย และขั้วที่ 4 รวมชาติพัฒนากับเพื่อแผ่นดิน
“กิจสังคม-พลังชล” ก็เลยคิดจะจับมือกันเป็นขั้วที่5 เพื่อสร้างอำนาจต่อรองหลังเลือกตั้งเอาไว้บ้าง จะได้ไม่ตกขบวน จนมีข่าวว่าอาจคุยกันถึงเรื่องรวมพรรคในอนาคต
ความเคลื่อนไหวล่าสุดกลุ่มคุณปลื้มพยายามตามจีบเสนาะ เทียนทอง หลายรอบให้มาอยู่ด้วยกันที่พลังชล แม้ลูกชายคือ สุรชาติ เทียนทอง จะเปิดตัวลงเพื่อไทยในเขตกทม.ไปแล้วก็ตาม
เบื้องต้นแกนนำสองพรรคนี้ ประเมินกันว่า พลังชลน่าจะได้ประมาณ 12 ที่นั่งแบ่งเป็นชลบุรียกจังหวัด 8 ที่นั่งและอีก 4 ที่นั่งในภาคตะวันออกเช่น จันทบุรี ระยอง ตราด แต่ดูแล้วเป็นราคาคุยมากกว่า หลายฝ่ายยังให้ไม่ถึง 5 ที่นั่งด้วยซ้ำ
ขณะที่กิจสังคม ฝ่ายสุวิทย์ยังมั่นใจว่าไม่ต่ำกว่า 5 ที่นั่ง รวมกันบวกลบอาจผิดไปจากเป้าหมายบ้าง แต่ขั้วนี้บอกก็ไม่น่าต่ำกว่า 10-12 ที่นั่ง
หากเอาเลขนี้ไปต่อรองเข้าร่วมรัฐบาล ก็น่าจะได้ชัวร์ๆ เก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่ง
เป็นไปได้ที่หากช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทั้ง “กิจสังคม-พลังชล” ขอบวกเข้าไปอยู่ในซีก ชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทยด้วย รวมกันแล้วเกิน 85 ที่นั่ง ก็กลายเป็นกลุ่มที่จะมีอำนาจต่อรองสูงที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล
ที่ทำให้ทั้ง “เพื่อไทย “และ “ประชาธิปัตย์”ต้องแข่งกันยื่นเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้
รอบนี้ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาคือ การย้ายเข้าย้ายออกของนักการเมืองและการเปิดตัวหรือการจับมือกันของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ตั้งอยู่บนสูตรผลประโยชน์สามอย่างคือ
1.พรรคใหม่ที่จะย้ายไปอยู่ต้องให้ค่าตัวหรือเงินใช้จ่ายในการเลือกตั้งดีกว่าพรรคที่อยู่เดิม
2.ต้องมั่นใจว่ามีโอกาสจะได้เป็นพรรครัฐบาลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน เพราะไม่มีส.ส.คนไหนหรอกอยากเป็นฝ่ายค้าน
และ3.มีหลักประกันหรือคำมั่นสัญญาว่าหากย้ายมาแล้ว แม้สอบตกหรือสอบได้ หากพรรคได้เป็นรัฐบาลก็จะมีตำแหน่งการเมืองให้เช่น รัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการ-ที่ปรึกษารัฐมนตรี โฆษกกระทรวง หรือพวกบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ
ทั้ง 3 เงื่อนไขนี้ ยืนยันได้ว่าใช้กับทุกพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเล็กพรรคใหญ่ และคงด้วยเหตุนี้เลยทำให้ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า พวกส.ส.กิจสังคม 4- 5 คน จะย้ายออกจากอ้อมอกของ “สุวิทย์ คุณกิตติ” รมว.ทรัพยากรฯ ไปอยู่กับพรรค “ภูมิใจไทย”
ถึงตอนนี้ ปรากฏข่าวการย้ายของส.ส.กิจสังคมกลุ่มนี้เริ่มไม่แน่แล้ว ออกอาการแกว่งตัวไปตามราคาขึ้นลงของข้อเสนอที่เข้ามาใหม่ โดยถึงตอนนี้ก่อนวันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.กลุ่มกิจสังคมหลายคนเช่น “วารุจ ศิริวัฒน์” ส.ส.อุตรดิสถ์ “ชยุต ภุมมะกาญจนะ” ส.ส.ปราจีนบุรี ก็ยังมีแนวโน้มจะอยู่กับกิจสังคมต่อไป
เหตุเพราะเงื่อนไขต่างๆ ในการอยู่กับกิจสังคมและสุวิทย์ต่อไป ยังเป็นเงื่อนไขที่ดีกว่าย้ายไปพรรคอื่น ทั้งเรื่องเงินดูแลเลือกตั้งหรือความมั่นใจว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
อีกทั้ง ล่าสุดกลุ่มกิจสังคมนำโดย “สุวิทย์ คุณกิตติ” มีข่าวว่าได้เตรียมจับมือกับพรรค “พลังชล” ของตระกูล “คุณปลื้ม” ที่นำโดย “สนธยา คุณปลื้ม” เพื่อเป็นพันธมิตรกันทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง ในลักษณะการสร้างอำนาจการเมืองขั้วที่ 5
ซึ่งตอนนี้มีขั้วการเมืองปรากฏขึ้นกันแล้ว 4 กลุ่มหลักคือขั้วที่ 1เพื่อไทย, ขั้วที่ 2ประชาธิปัตย์ ตามด้วยขั้วของกลุ่มพรรคขนาดกลาง คือขั้วที่ 3 ที่เปิดตัวก่อนใครคือชาติไทยพัฒนากับภูมิใจไทย และขั้วที่ 4 รวมชาติพัฒนากับเพื่อแผ่นดิน
“กิจสังคม-พลังชล” ก็เลยคิดจะจับมือกันเป็นขั้วที่5 เพื่อสร้างอำนาจต่อรองหลังเลือกตั้งเอาไว้บ้าง จะได้ไม่ตกขบวน จนมีข่าวว่าอาจคุยกันถึงเรื่องรวมพรรคในอนาคต
ความเคลื่อนไหวล่าสุดกลุ่มคุณปลื้มพยายามตามจีบเสนาะ เทียนทอง หลายรอบให้มาอยู่ด้วยกันที่พลังชล แม้ลูกชายคือ สุรชาติ เทียนทอง จะเปิดตัวลงเพื่อไทยในเขตกทม.ไปแล้วก็ตาม
เบื้องต้นแกนนำสองพรรคนี้ ประเมินกันว่า พลังชลน่าจะได้ประมาณ 12 ที่นั่งแบ่งเป็นชลบุรียกจังหวัด 8 ที่นั่งและอีก 4 ที่นั่งในภาคตะวันออกเช่น จันทบุรี ระยอง ตราด แต่ดูแล้วเป็นราคาคุยมากกว่า หลายฝ่ายยังให้ไม่ถึง 5 ที่นั่งด้วยซ้ำ
ขณะที่กิจสังคม ฝ่ายสุวิทย์ยังมั่นใจว่าไม่ต่ำกว่า 5 ที่นั่ง รวมกันบวกลบอาจผิดไปจากเป้าหมายบ้าง แต่ขั้วนี้บอกก็ไม่น่าต่ำกว่า 10-12 ที่นั่ง
หากเอาเลขนี้ไปต่อรองเข้าร่วมรัฐบาล ก็น่าจะได้ชัวร์ๆ เก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่ง
เป็นไปได้ที่หากช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทั้ง “กิจสังคม-พลังชล” ขอบวกเข้าไปอยู่ในซีก ชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทยด้วย รวมกันแล้วเกิน 85 ที่นั่ง ก็กลายเป็นกลุ่มที่จะมีอำนาจต่อรองสูงที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล
ที่ทำให้ทั้ง “เพื่อไทย “และ “ประชาธิปัตย์”ต้องแข่งกันยื่นเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้