ASTVผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยรูด 23 จุด ต่างชาติเทขาย 3.4 พันล้านบาท จากแรงเทขายทำกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ และการแข็งค่าของเงินบาท ฉุดดัชนีรูดตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โบรกฯมองมีโอกาสรีบาวน์
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(6พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,050.85 จุด ลดลง 23.02 จุด หรือ -2.14% มูลค่าการซื้อขาย 49,835.01 ล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวลงแรง หลังมีการ take profit สินค้าโภคภัณฑ์ออกมาทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นไทยซึ่งมีหุ้นที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์กว่า 35% ของตลาดรวม ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,478.63 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 329.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 151.39 ล้านบาท
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 107 หลักทรัพย์ ลดลง 361 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 81 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ JAS มูลค่าการซื้อขาย 4,830.32 ล้านบาท ปิดที่ 2.76 บาท ลดลง 0.96 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,221.07 ล้านบาท ปิดที่ 347.00 บาท ลดลง 14.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,427.86 ล้านบาท ปิดที่ 170.50 บาท ลดลง 8.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,206.35 ล้านบาท ปิดที่ 718.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,934.92 ล้านบาท ปิดที่ 28.25 บาท ลดลง 1.50 บาท
ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาคปิดตลาดปรับตัวลดลงทุกตลาด โดยดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,099.52 จุด ลดลง 10.33 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 23,159.14 จุด ลดลง 102.47 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,859.20 จุด ลดลง 145.00 จุด และดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 8,977.23 จุด ลดลง 41.38 จุด.
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรง จากการที่ตลาดโลกมีการ take profit สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งน้ำมัน ทองคำ ทำให้กระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากด้วยโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ถึง 35% ของตลาดรวม
ประกอบกับ การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติหลังหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ทำให้มีการ take profit ออกมาเช่นกัน กลุ่มที่ถูกขายออกมาหนักๆก็จะมีพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีน้ำหนักรวมกันเกือบ 50% ของตลาด จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับลงแรง และถือว่า underperform ตลาดภูมิภาคไปมาก
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(6พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,050.85 จุด ลดลง 23.02 จุด หรือ -2.14% มูลค่าการซื้อขาย 49,835.01 ล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวลงแรง หลังมีการ take profit สินค้าโภคภัณฑ์ออกมาทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นไทยซึ่งมีหุ้นที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์กว่า 35% ของตลาดรวม ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,478.63 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 329.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 151.39 ล้านบาท
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 107 หลักทรัพย์ ลดลง 361 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 81 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ JAS มูลค่าการซื้อขาย 4,830.32 ล้านบาท ปิดที่ 2.76 บาท ลดลง 0.96 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,221.07 ล้านบาท ปิดที่ 347.00 บาท ลดลง 14.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,427.86 ล้านบาท ปิดที่ 170.50 บาท ลดลง 8.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,206.35 ล้านบาท ปิดที่ 718.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,934.92 ล้านบาท ปิดที่ 28.25 บาท ลดลง 1.50 บาท
ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาคปิดตลาดปรับตัวลดลงทุกตลาด โดยดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,099.52 จุด ลดลง 10.33 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 23,159.14 จุด ลดลง 102.47 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,859.20 จุด ลดลง 145.00 จุด และดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 8,977.23 จุด ลดลง 41.38 จุด.
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรง จากการที่ตลาดโลกมีการ take profit สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งน้ำมัน ทองคำ ทำให้กระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากด้วยโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ถึง 35% ของตลาดรวม
ประกอบกับ การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติหลังหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ทำให้มีการ take profit ออกมาเช่นกัน กลุ่มที่ถูกขายออกมาหนักๆก็จะมีพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีน้ำหนักรวมกันเกือบ 50% ของตลาด จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับลงแรง และถือว่า underperform ตลาดภูมิภาคไปมาก