รอยเตอร์/เอเอฟพี - ปากีสถานตกอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ เมื่อพยายามจะปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการสังหารอุซามะห์ บินลาดิน หวั่นปากีสถานจะตกเป็นเป้าหมายการแก้แค้น ขณะที่อีกด้านต้องตอบคำถามจากนานาชาติ เหตุใดบินลาดินจึงสามารถหลบซ่อนและใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตั้ง 5-6 ปีภายในคฤหาสน์หรูใต้จมูกของกองทัพปากีสถานได้
ประธานาธิบดีอาซีฟ อาลี ซาร์ดารี ของปากีสถาน ออกมายอมรับเป็นครั้งแรก เมื่อวานนี้ (3พ.ค.) ว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงของตนได้เปิดทางโล่งให้แก่ทหารปฏิบัติการพิเศษจากหน่วย “ซีลส์” ของสหรัฐฯ ในการบุกเข้าไปสังหารบินลาดินถึงที่พำนักของเขาได้อย่างราบรื่นเมื่อวันอาทิตย์ (1พ.ค.) กระนั้นก็ตาม ซาร์ดารีก็ไม่สามารถขจัดข้อสงสัยจากนานาชาติที่ว่า ตัวผู้นำหมายเลข 1 ของอัลกออิดะห์ผู้ซึ่งถูกตามล่าโดยสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานนับทศวรรษนี้ สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายภายในคฤหาสน์หรูหราที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในเขตรีสอร์ตใกล้กับกรุงอิสลามาบัดเป็นเวลาตั้งหลายๆ ปีได้อย่างไร
“เขาไม่ได้อยู่ในที่ที่พวกเราคาดคะเนว่าเขาจะอยู่เลย แต่ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้เขาก็ได้ตายจากไปแล้ว” ประธานาธิบดีซาร์ดารี เขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งมอบให้แก่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ของสหรัฐฯ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แก้ต่างให้รัฐบาลตนเองเกี่ยวกับข้อโจมตีจากสหรัฐฯ ที่ว่า กองกำลังของปากีสถานควรจะทราบดีว่า บินลาดินหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
“ถึงแม้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์นั้นจะไม่ใช่ปฏิบัติการที่ร่วมกันโดยตรงระหว่าง 2 รัฐบาล ทว่า ความร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันของสหรัฐฯ และปากีสถานตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้น ก็ได้นำไปสู่การกำจัดอุซามะห์ บินลาดิน ผู้ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อโลกอารยธรรมอย่างไม่หยุดหย่อน ลงได้”
ขณะเดียวกัน ทางทำเนียบขาว ก็ออกมาระบุว่า ข่าวกรองเกี่ยวกับสถานที่กบดานของบินลาดินนั้น ทางตนไม่ได้ร่วมแบ่งปันกับประเทศอื่นๆ ซึ่งก็รวมถึงปากีสถานด้วย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลในด้านของความมั่นคง
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ถูกเปิดเผยว่า บินลาดินได้กบดานอยู่ในเมืองอับบอตตาบัดซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของค่ายทหารสำคัญของปากีสถาน มิหนำซ้ำยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า บินลาดินอาจหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปีด้วยนั้น ก็ทำให้บรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันไม่พอใจและต้องการที่จะตรวจสอบทบทวนบัญชีการใช้จ่ายของเงินช่วยเหลือจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลวอชิงตันหยิบยื่นให้แก่รัฐบาลอิสลามาบัด ว่าแท้ที่จริงแล้วปากีสถานได้นำเงินจำนวนนี้ไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่
พวกเขาระบุเพิ่มเติมว่า สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินช่วยเหลือดังกล่าวแล้วจำนวนถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยตรงและบำรุงกองทัพปากีสถานในการให้ช่วยต่อสู้กวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมหัวรุนแรง นับตั้งแต่ที่บินลาดิน บงการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซนเตอร์และอาคารเพนตากอนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา
“รัฐบาลของเรากำลังประสบกับความยุ่งยากทางการคลัง ซึ่งการที่เราจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่นั้น ถือเป็นปัญหาอย่างมาก” ไดแอน ไฟน์สไตน์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ ปากีสถานยังเผชิญกับการถูกนานาชาติเคลือบแคลงถึงประสิทธิภาพของทหารและการข่าวกรอง ที่ไม่สามารถตามจับบินลาดินได้ด้วยตัวพวกเขาเอง รวมถึงสงสัยด้วยว่า ปากีสถานอาจทราบแหล่งที่ซ่อนตัวของบินลาดินมาเป็นเวลานานแล้วและทำการปกปิดเอาไว้
จอห์น เบรแนน ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายประจำทำเนียบขาว ระบุว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่บินลาดินจะไร้ซึ่งปัจจัยสนับสนุนช่วยเหลือในประเทศซึ่งปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนาน”
นอกจากนั้นในเวลาต่อมา เบรแนนยังกล่าวในรายการ “ซีบีเอส เออร์ลี โชว์” ของเครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสวานนี้ว่า จากข้อมูลล่าสุดทำให้เขาคิดว่า บิน ลาดิน พำนักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่เขาพบจุดจบแห่งนี้ในช่วงระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สื่อมวลชนของปากีสถานเอง ต่างก็ตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามต่างๆ แก่รัฐบาลตนเช่นกัน
“ความล้มเหลวของปากีสถานในการสืบค้นหาตัวบุคคลซึ่งเป็นที่ต้องการของโลกมากที่สุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าช็อกยิ่ง” เดอะ นิวส์ สื่อท้องถิ่น กล่าวไว้ในบทบรรณาธิการ
ส่วนเดลิไทมส์ ก็ระบุว่า “เขา (บินลาดิน) หลบซ่อนอยู่ที่นั่นโดยที่ทางเราไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานของปฏิบัติการใดๆ ได้อย่างไร”
ทั้งนี้ บินลาดินถูกยิงเข้าที่ศีรษะและหน้าอกเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ ที่หย่อนตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก เหนือคฤหาสน์ของเขา ในปฏิบัติการกลางดึกซึ่งกินเวลาเพียง 40 นาที
สำหรับศพของบินลาดิน ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของพวกมุสลิมหัวรุนแรงนั้น ได้ถูกทิ้งลงทะล หลังจากที่มีการประกอบพิธีศพตามหลักศาสนาอิสลามให้แก่เขาบนเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์ล วินสัน รายงานข่าวระบุด้วยว่า ศพของเขาถูกห่อหุ้มด้วยถุงศพที่ติดตัวถ่วงน้ำหนักเพื่อให้จมลงก้นทะเลลึกในเขตทะเลอารเบียเหนือ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์พากันเตือนว่า การที่ปราชญ์มุสลิมบางคนออกมาคัดค้านในเรื่องที่สหรัฐฯ จัดการกับศพของบินลาดินอย่างไม่เหมาะสมด้วยการทิ้งลงทะเลเช่นนี้ อาจจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจและปลุกกระแสต่อต้านอเมริกาในโลกมุสลิมได้ ปราชญ์มุสลิมเหล่านี้บอกด้วยว่า ศพของชาวมุสลิมไม่ควรถูกทิ้งลงทะเลนอกเสียจากว่าเขาผู้นั้นเสียชีวิตในระหว่างเดินทางกลางทะเล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ออกประกาศเตือนด้านความปลอดภัยแก่พลเรือนอเมริกันทั่วโลกแล้ว โดยผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ลีโอน พาเนตตา ก็ออกโรงเตือนว่า อัลกออิดะห์น่าจะกำลังวางแผนเพื่อแก้แค้นให้แก่บินลาดิน
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า การเสียชีวิตของบิน ลาดิน เป็นเรื่องของทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องการก่อการร้ายสากล อย่างไรก็ต้องระมัดระวัง เพราะการก่อการร้ายยังมีอยู่ในโลก การต่อสู้ยังมีอยู่ในทุกภูมิภาค แน่นอนเขาต้องพยายามสร้างแรงกดดันในสังคมโลก ฉะนั้น อย่าไปตื่นตระหนก เพียงแต่ทางรัฐบาล กอ.รมน. ทางกองทัพ ต้องตื่นตัวอย่าประมาท และป้องกันเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเรามีศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล และตำรวจสันติบาล ดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเป็นการต่อสู่ของสังคมโลก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ความจริงแล้วไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมาย ของกลุ่มก่อการร้ายใดๆ และคาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่เราก็ไม่ประมาท เพราะเรามีหน้าที่ดูแลระมัดระวังด้านความมั่นคง แต่คงไม่ต้องสั่งการอะไรเป็นพิเศษ แต่ละหน่วยนงานมีหน้าที่ติดตามดูแลสถานการณ์อยู่แล้ว และขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานทางการข่าวว่ากลุ่มก่อการร้าย และเคือข่าย จะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือรายงานข่าวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ถึงแม้ในภาคใต้จะมีการก่อความไม่สงบ แต่หน่วยงานด้านการข่าวของเรา หรือหน่วยงานด้านการข่าวของมิตรประเทศของมหาอำนาจนั้น มีความเห็นตรงกันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ส่วนการที่นายบิน ลาดิน เป็นไอดอลหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ของผู้ก่อเหตุนั้น ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นความเชื่อในพื้นที่ตางๆ
"สิ่งที่เรากำลังดำเนินการขณะนี้ คือ กำลังติดตามสถานการณ์จากหน่วยข่าวที่เป็นมิตรประเทศ โดยเฉพาะปากีสถาน ซึ่งเราจะไม่ประมาท และหน่วยงานทางด้านความมั่นคง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องการประสานงานข้อมูลจากปากีสถาน รวมทั้งการดูแลรักษาความปลอดภัยในประเทศสหรัฐฯ และมิตรประเทศ"นายถวิลกล่าว
ประธานาธิบดีอาซีฟ อาลี ซาร์ดารี ของปากีสถาน ออกมายอมรับเป็นครั้งแรก เมื่อวานนี้ (3พ.ค.) ว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงของตนได้เปิดทางโล่งให้แก่ทหารปฏิบัติการพิเศษจากหน่วย “ซีลส์” ของสหรัฐฯ ในการบุกเข้าไปสังหารบินลาดินถึงที่พำนักของเขาได้อย่างราบรื่นเมื่อวันอาทิตย์ (1พ.ค.) กระนั้นก็ตาม ซาร์ดารีก็ไม่สามารถขจัดข้อสงสัยจากนานาชาติที่ว่า ตัวผู้นำหมายเลข 1 ของอัลกออิดะห์ผู้ซึ่งถูกตามล่าโดยสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานนับทศวรรษนี้ สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายภายในคฤหาสน์หรูหราที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในเขตรีสอร์ตใกล้กับกรุงอิสลามาบัดเป็นเวลาตั้งหลายๆ ปีได้อย่างไร
“เขาไม่ได้อยู่ในที่ที่พวกเราคาดคะเนว่าเขาจะอยู่เลย แต่ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้เขาก็ได้ตายจากไปแล้ว” ประธานาธิบดีซาร์ดารี เขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งมอบให้แก่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ของสหรัฐฯ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แก้ต่างให้รัฐบาลตนเองเกี่ยวกับข้อโจมตีจากสหรัฐฯ ที่ว่า กองกำลังของปากีสถานควรจะทราบดีว่า บินลาดินหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
“ถึงแม้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์นั้นจะไม่ใช่ปฏิบัติการที่ร่วมกันโดยตรงระหว่าง 2 รัฐบาล ทว่า ความร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันของสหรัฐฯ และปากีสถานตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้น ก็ได้นำไปสู่การกำจัดอุซามะห์ บินลาดิน ผู้ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อโลกอารยธรรมอย่างไม่หยุดหย่อน ลงได้”
ขณะเดียวกัน ทางทำเนียบขาว ก็ออกมาระบุว่า ข่าวกรองเกี่ยวกับสถานที่กบดานของบินลาดินนั้น ทางตนไม่ได้ร่วมแบ่งปันกับประเทศอื่นๆ ซึ่งก็รวมถึงปากีสถานด้วย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลในด้านของความมั่นคง
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ถูกเปิดเผยว่า บินลาดินได้กบดานอยู่ในเมืองอับบอตตาบัดซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของค่ายทหารสำคัญของปากีสถาน มิหนำซ้ำยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า บินลาดินอาจหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปีด้วยนั้น ก็ทำให้บรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันไม่พอใจและต้องการที่จะตรวจสอบทบทวนบัญชีการใช้จ่ายของเงินช่วยเหลือจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลวอชิงตันหยิบยื่นให้แก่รัฐบาลอิสลามาบัด ว่าแท้ที่จริงแล้วปากีสถานได้นำเงินจำนวนนี้ไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่
พวกเขาระบุเพิ่มเติมว่า สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินช่วยเหลือดังกล่าวแล้วจำนวนถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยตรงและบำรุงกองทัพปากีสถานในการให้ช่วยต่อสู้กวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมหัวรุนแรง นับตั้งแต่ที่บินลาดิน บงการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซนเตอร์และอาคารเพนตากอนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา
“รัฐบาลของเรากำลังประสบกับความยุ่งยากทางการคลัง ซึ่งการที่เราจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่นั้น ถือเป็นปัญหาอย่างมาก” ไดแอน ไฟน์สไตน์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ ปากีสถานยังเผชิญกับการถูกนานาชาติเคลือบแคลงถึงประสิทธิภาพของทหารและการข่าวกรอง ที่ไม่สามารถตามจับบินลาดินได้ด้วยตัวพวกเขาเอง รวมถึงสงสัยด้วยว่า ปากีสถานอาจทราบแหล่งที่ซ่อนตัวของบินลาดินมาเป็นเวลานานแล้วและทำการปกปิดเอาไว้
จอห์น เบรแนน ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายประจำทำเนียบขาว ระบุว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่บินลาดินจะไร้ซึ่งปัจจัยสนับสนุนช่วยเหลือในประเทศซึ่งปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนาน”
นอกจากนั้นในเวลาต่อมา เบรแนนยังกล่าวในรายการ “ซีบีเอส เออร์ลี โชว์” ของเครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสวานนี้ว่า จากข้อมูลล่าสุดทำให้เขาคิดว่า บิน ลาดิน พำนักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่เขาพบจุดจบแห่งนี้ในช่วงระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สื่อมวลชนของปากีสถานเอง ต่างก็ตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามต่างๆ แก่รัฐบาลตนเช่นกัน
“ความล้มเหลวของปากีสถานในการสืบค้นหาตัวบุคคลซึ่งเป็นที่ต้องการของโลกมากที่สุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าช็อกยิ่ง” เดอะ นิวส์ สื่อท้องถิ่น กล่าวไว้ในบทบรรณาธิการ
ส่วนเดลิไทมส์ ก็ระบุว่า “เขา (บินลาดิน) หลบซ่อนอยู่ที่นั่นโดยที่ทางเราไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานของปฏิบัติการใดๆ ได้อย่างไร”
ทั้งนี้ บินลาดินถูกยิงเข้าที่ศีรษะและหน้าอกเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ ที่หย่อนตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก เหนือคฤหาสน์ของเขา ในปฏิบัติการกลางดึกซึ่งกินเวลาเพียง 40 นาที
สำหรับศพของบินลาดิน ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของพวกมุสลิมหัวรุนแรงนั้น ได้ถูกทิ้งลงทะล หลังจากที่มีการประกอบพิธีศพตามหลักศาสนาอิสลามให้แก่เขาบนเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์ล วินสัน รายงานข่าวระบุด้วยว่า ศพของเขาถูกห่อหุ้มด้วยถุงศพที่ติดตัวถ่วงน้ำหนักเพื่อให้จมลงก้นทะเลลึกในเขตทะเลอารเบียเหนือ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์พากันเตือนว่า การที่ปราชญ์มุสลิมบางคนออกมาคัดค้านในเรื่องที่สหรัฐฯ จัดการกับศพของบินลาดินอย่างไม่เหมาะสมด้วยการทิ้งลงทะเลเช่นนี้ อาจจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจและปลุกกระแสต่อต้านอเมริกาในโลกมุสลิมได้ ปราชญ์มุสลิมเหล่านี้บอกด้วยว่า ศพของชาวมุสลิมไม่ควรถูกทิ้งลงทะเลนอกเสียจากว่าเขาผู้นั้นเสียชีวิตในระหว่างเดินทางกลางทะเล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ออกประกาศเตือนด้านความปลอดภัยแก่พลเรือนอเมริกันทั่วโลกแล้ว โดยผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ลีโอน พาเนตตา ก็ออกโรงเตือนว่า อัลกออิดะห์น่าจะกำลังวางแผนเพื่อแก้แค้นให้แก่บินลาดิน
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า การเสียชีวิตของบิน ลาดิน เป็นเรื่องของทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องการก่อการร้ายสากล อย่างไรก็ต้องระมัดระวัง เพราะการก่อการร้ายยังมีอยู่ในโลก การต่อสู้ยังมีอยู่ในทุกภูมิภาค แน่นอนเขาต้องพยายามสร้างแรงกดดันในสังคมโลก ฉะนั้น อย่าไปตื่นตระหนก เพียงแต่ทางรัฐบาล กอ.รมน. ทางกองทัพ ต้องตื่นตัวอย่าประมาท และป้องกันเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเรามีศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล และตำรวจสันติบาล ดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเป็นการต่อสู่ของสังคมโลก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ความจริงแล้วไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมาย ของกลุ่มก่อการร้ายใดๆ และคาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่เราก็ไม่ประมาท เพราะเรามีหน้าที่ดูแลระมัดระวังด้านความมั่นคง แต่คงไม่ต้องสั่งการอะไรเป็นพิเศษ แต่ละหน่วยนงานมีหน้าที่ติดตามดูแลสถานการณ์อยู่แล้ว และขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานทางการข่าวว่ากลุ่มก่อการร้าย และเคือข่าย จะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือรายงานข่าวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ถึงแม้ในภาคใต้จะมีการก่อความไม่สงบ แต่หน่วยงานด้านการข่าวของเรา หรือหน่วยงานด้านการข่าวของมิตรประเทศของมหาอำนาจนั้น มีความเห็นตรงกันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ส่วนการที่นายบิน ลาดิน เป็นไอดอลหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ของผู้ก่อเหตุนั้น ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นความเชื่อในพื้นที่ตางๆ
"สิ่งที่เรากำลังดำเนินการขณะนี้ คือ กำลังติดตามสถานการณ์จากหน่วยข่าวที่เป็นมิตรประเทศ โดยเฉพาะปากีสถาน ซึ่งเราจะไม่ประมาท และหน่วยงานทางด้านความมั่นคง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องการประสานงานข้อมูลจากปากีสถาน รวมทั้งการดูแลรักษาความปลอดภัยในประเทศสหรัฐฯ และมิตรประเทศ"นายถวิลกล่าว