เอเจนซี/เอเอฟพี - รัฐบาลปากีสถานตกอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ เมื่อด้านหนึ่งพยายามจะปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการบันลือโลกที่นำไปสู่การสังหารอุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายข้ามชาติอัลกออิดะห์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องด้วยหวั่นเกรงว่า ปากีสถานของเขาอาจตกเป็นเป้าหมายการแก้แค้นของอัลกออิดะห์ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องตอบคำถามจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ให้ได้ว่า เหตุใดบิน ลาดินจึงสามารถหลบซ่อนและใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตั้ง 5-6 ปี ภายในคฤหาสน์หรูใต้จมูกของกองทัพปากีสถานได้
ประธานาธิบดีอาซีฟ อาลี ซาร์ดารี ของปากีสถานออกมายอมรับเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (3) ว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงของตนได้เปิดทางโล่งให้แก่ทหารปฏิบัติการพิเศษจากหน่วย “ซีลส์” ของสหรัฐฯ ในการบุกเข้าไปสังหารบิน ลาดิน ถึงที่พำนักของเขาได้อย่างราบรื่นเมื่อวันอาทิตย์ (1) กระนั้นก็ตาม ซาร์ดารีก็ไม่สามารถขจัดข้อสงสัยจากนานาชาติที่ว่า ตัวผู้นำหมายเลข 1 ของอัลกออิดะห์ผู้ซึ่งถูกตามล่าโดยสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานนับทศวรรษนี้ สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายภายในคฤหาสน์หรูหราที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในเขตรีสอร์ตใกล้กับกรุงอิสลามาบัดเป็นเวลาตั้งหลายๆ ปีได้อย่างไร
“เขาไม่ได้อยู่ในที่ที่พวกเราคาดคะเนว่าเขาจะอยู่เลย แต่ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้เขาก็ได้ตายจากไปแล้ว” ประธานาธิบดีซาร์ดารี เขียนไว้ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งมอบให้แก่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ของสหรัฐฯ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แก้ต่างให้รัฐบาลตนเองเกี่ยวกับข้อโจมตีจากสหรัฐฯ ที่ว่า กองกำลังของปากีสถานควรจะทราบดีว่า บิน ลาดิน หลบซ่อนตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
“ถึงแม้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์นั้นจะไม่ใช่ปฏิบัติการที่ร่วมกันโดยตรงระหว่าง 2 รัฐบาล ทว่า ความร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันของสหรัฐฯ และปากีสถานตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้น ก็ได้นำไปสู่การกำจัดอุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อโลกอารยธรรมอย่างไม่หยุดหย่อน ลงได้”
ขณะเดียวกัน ทางทำเนียบขาวก็ออกมาระบุว่า ข่าวกรองเกี่ยวกับสถานที่กบดานของบิน ลาดินนั้น ทางตนไม่ได้ร่วมแบ่งปันกับประเทศอื่นๆ ซึ่งก็รวมถึงปากีสถานด้วย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลในด้านของความมั่นคง
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ถูกเปิดเผยว่า บิน ลาดินได้กบดานอยู่ในเมืองอับบอตตาบัดซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของค่ายทหารสำคัญของปากีสถาน มิหนำซ้ำยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า บิน ลาดินอาจหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปีด้วยนั้น ก็ทำให้บรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันไม่พอใจและต้องการที่จะตรวจสอบทบทวนบัญชีการใช้จ่ายของเงินช่วยเหลือจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลวอชิงตันหยิบยื่นให้แก่รัฐบาลอิสลามาบัด ว่าแท้ที่จริงแล้วปากีสถานได้นำเงินจำนวนนี้ไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่
พวกเขาระบุเพิ่มเติมว่า สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินช่วยเหลือดังกล่าวแล้วจำนวนถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยตรงและบำรุงกองทัพปากีสถานในการให้ช่วยต่อสู้กวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมหัวรุนแรง นับตั้งแต่ที่บินลาดิน บงการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และอาคารเพนตากอนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา
“รัฐบาลของเรากำลังประสบกับความยุ่งยากทางการคลัง ซึ่งการที่เราจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่นั้น ถือเป็นปัญหาอย่างมาก” ไดแอน ไฟน์สไตน์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ ปากีสถานยังเผชิญกับการถูกนานาชาติเคลือบแคลงถึงประสิทธิภาพของทหารและการข่าวกรอง ที่ไม่สามารถตามจับบิน ลาดินได้ด้วยตัวพวกเขาเอง รวมถึงสงสัยด้วยว่า ปากีสถานอาจทราบแหล่งที่ซ่อนตัวของบิน ลาดินมาเป็นเวลานานแล้วและทำการปกปิดเอาไว้
จอห์น เบรแนน ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายประจำทำเนียบขาว ระบุว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่บินลาดินจะไร้ซึ่งปัจจัยสนับสนุนช่วยเหลือในประเทศซึ่งปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนาน”
นอกจากนั้น ในเวลาต่อมา เบรแนนยังกล่าวในรายการ “ซีบีเอส เออร์ลี โชว์” ของเครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสวานนี้ว่า จากข้อมูลล่าสุดทำให้เขาคิดว่า บิน ลาดิน พำนักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่เขาพบจุดจบแห่งนี้ในช่วงระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่สื่อมวลชนของปากีสถานเองต่างก็ตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามต่างๆ แก่รัฐบาลตนเช่นกัน
“ความล้มเหลวของปากีสถานในการสืบค้นหาตัวบุคคลซึ่งเป็นที่ต้องการของโลกมากที่สุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าช็อกยิ่ง” เดอะ นิวส์ สื่อท้องถิ่น กล่าวไว้ในบทบรรณาธิการ
ส่วนเดลิไทมส์ ก็ระบุว่า “เขา (บิน ลาดิน) หลบซ่อนอยู่ที่นั่นโดยที่ทางเราไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานของปฏิบัติการใดๆ ได้อย่างไร”
ทั้งนี้ บิน ลาดิน ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ และหน้าอกเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ ที่หย่อนตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก เหนือคฤหาสน์ของเขา ในปฏิบัติการกลางดึกซึ่งกินเวลาเพียง 40 นาที
สำหรับศพของบิน ลาดิน ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของพวกมุสลิมหัวรุนแรงนั้น ได้ถูกทิ้งลงทะล หลังจากที่มีการประกอบพิธีศพตามหลักศาสนาอิสลามให้แก่เขาบนเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์ล วินสัน รายงานข่าวระบุด้วยว่า ศพของเขาถูกห่อหุ้มด้วยถุงศพที่ติดตัวถ่วงน้ำหนักเพื่อให้จมลงก้นทะเลลึกในเขตทะเลอารเบียเหนือ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์พากันเตือนว่า การที่ปราชญ์มุสลิมบางคนออกมาคัดค้านในเรื่องที่สหรัฐฯ จัดการกับศพของบินลาดินอย่างไม่เหมาะสมด้วยการทิ้งลงทะเลเช่นนี้ อาจจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจและปลุกกระแสต่อต้านอเมริกาในโลกมุสลิมได้ ปราชญ์มุสลิมเหล่านี้บอกด้วยว่า ศพของชาวมุสลิมไม่ควรถูกทิ้งลงทะเลนอกเสียจากว่าเขาผู้นั้นเสียชีวิตในระหว่างเดินทางกลางทะเล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ออกประกาศเตือนด้านความปลอดภัยแก่พลเรือนอเมริกันทั่วโลกแล้ว โดยผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ลีโอน พาเนตตา ก็ออกโรงเตือนว่า อัลกออิดะห์น่าจะกำลังวางแผนเพื่อแก้แค้นให้แก่บิน ลาดิน