“มาร์ค” ดีแต่พูด “แม้ว” คิด เพื่อไทยทำ ปชช.ไร้ความหวังรัฐบาลใหม่

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการยุบสภา ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้ว่าจะเกิดขึ้นราวต้นเดือนพฤษภาคม และก็เป็นไปตามประเพณีก่อนการเลือกตั้งที่บรรดาพรรคการเมือง

จะต้องเข็นนโยบายประชานิยม ขายฝัน ออกมาเอาใจประชาชน ไล่เก็บแต้มตีกินคะแนนทางการเมืองกันยกใหญ่ กล่าวได้ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า จะเป็นการขับเคี่ยวต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงการนำเป็นรัฐบาลของพรรคการเมือง 2 ใหญ่ คือฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่หวังกลับมาเบิ้ลเป็นรัฐบาลอีกรอบ และฝั่งพรรคเพื่อไทย จะเป็นการตัดสินชะตาของนช.ทักษิณ ชินวัตรว่าจะได้กลับมาเหยียบประเทศไทยอีกครั้งได้หรือไม่

ทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ ได้เริ่มต้นด้วยการตีปี๊ป ผลงานรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา 2ปี หลายเวอร์ชัน ก่อนจะมาปล่อยของนโยบายชุดใหม่ ภายใต้สโลแกน “เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายประชาชน “ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน หลัก 1.ด้านเศรษฐกิจ 2.ด้านสังคมและครอบครัว 3.ด้านค่าครองชีพและประกันสังคม

ทั้งนี้ นโยบายที่ออกมาก็หนีไม่พ้นแนวประชานิยม ซึ่งประชาธิปัตย์เปลี่ยนมาใช้คำสวยหรู ว่ารัฐสวัสดิการ ก็มี ด้านสังคม อาทิ ไฟฟ้าฟรีถาวร สำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน มอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 60ปีขึนไป ทุกคนทุกเดือน เพิ่มเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คน

หรือจะเป็นด้านค่าครองชีพและประกันสังคม เช่น เพิ่มเงินกำไรอีกร้อยละ 25 จากโครงการประกันรายได้เกษตร ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 25 ในเวลา 2ปี จัดโฉนดชุมชนให้เกษตรกรอีก 250,000 คน บนพื้นที่ของรัฐ ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบเพื่อลดภาระดอกเบี้ย ขยายประกันสังคมสำหรับเกษตรกรและปรงงานนอกระบบให้ครอบคลุม 25 ล้านคน

แต่อย่างไรก็ตาม หลายนโยบายที่ออกมาเร่ขายฝัน ก็เป็นเพียงการทิ้งหัวเชื้อ เพราะยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง และจะทำได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ สรุปก็คือถ้าอยากให้ฝันเป็นจริง ก็เหมือนมัดมือชกให้ประชาชนเข้าไปเลือกประชาธิปัตย์กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งนั้นเอง

หันมาดูฝั่งพรรคเพื่อไทยกันบ้าง ก็เรียกว่าจัดหนักไม่แพ้กัน สำหรับเจ้าตำรับประชานิยม ยี่ห้อทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดเปิดตัวโหมโรงเรียกแขก ด้วยการวีดีโอลิงก์ของ นายใหญ่ จากแดนไกล
เปิดตัวส.ส.และ นโยบายพรรคเพื่อไทย ภายใต้หลักการ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เพื่อเตรียมใช้ในการเลือกตั้ง หรือจะว่าไปแล้ว ก็คือนโยขายฝันในการเตรียมตัวกลับประเทศของทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งนั้นเอง

สำหรับนโยบายขายฝัน ของพรรคเพื่อไทย เรียกว่าบลัฟพรรคประชาธิปัตย์สุดฤทธิ์ เหมือนกัน เริ่มด้วยมาตรการด้านภาษี จะลดการเก็บภาษีนิติบุคคลจาก 30 % เหลือ 23 % ทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้บริษัทเอกชนลดการจ่ายภาษีเพื่อเอาเงินไปเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานปริญญาตรีจะสตารท์เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300บาท

แต่ที่สร้างเสียงฮือฮาก็หนีไม่พ้นงานถนัดคือการเจาะกลุ่มเป้าหมายรากหญ้าโดยออกแนวคิดบัตรเครดิตเกษตรกร ซึงเรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ด้วยการสามารถนำไปซื้อสินค้าเกษตร ในราคาจริง ไม่ถูกพ่อค้าโก่งราคาบวกดอกเบี้ย

หรือจะเป็นเรื่องการให้คนรุ่นใหม่ เข้าถึงโอกาศทางธุรกิจ ด้วยโครงการกองทุนมหาวิทยาลัย
แห่งละ 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนให้สินเชื่อแก่นักศึกษาที่จบใหม่ที่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ
รวมไปถึงเล็งเดินหน้าสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย จ่าย 20บาททั่วกรุงเทพฯ ทุกสถานีจะสร้างเมืองที่มีความพร้อมในตัวเอง เช่น มีที่พักอาศัย โดยให้เช่าในราคาถูกเพียงเดือนละ 1,000 บาท หรือจะเป็นการแจกไอแพดให้กับเด็กนักเรียน ป.1 ทุกคนทั่วประเทศ

ทั้งหมดทั้งปวง นโยบายขายฝันของนายใหญ่ ที่กระสันอยากกลับมาเมืองไทย โดยไม่มีข้อหาติดตัว ก็จะพบว่าเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ เพ้อฝัน หวังให้ประชาชนเคลิ้มเคลิบ หรือที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะขจัดความยากจนให้หมดภายใน 4ปี แต่ในขณะเดียวกันหลายนโยบายในความจริงแล้วถามว่าทำได้จริงหรือไม่ และหากทำแล้วเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะที่หยิบยกมาก็เป็นเพียงแค่บางส่วนของนโยบายต่างๆนานา ก็เห็นชัดว่ามีแต่จำพวกลดแลก แจกแถมทั้งสิ้น แต่ทางพรรคเพื่อไทยก็ไม่เคยบอกว่าจะหาเงินมาจากทางไหนด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บรรดาพรรคการเมืองเร่ขายฝันลมๆแล้งๆ ก็เพียงเพื่อจะให้ได้เถลิงอำนาจเป็นรัฐบาล ทางเอแบคโพลล์ ก็ได้เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องทิศทาง การตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนต่อพรรคการเมือง พบว่าประชาชนร้อยละ 52.4 ไม่มีความหวังจะได้รัฐบาลที่ดีขึ้นหลังเลือกตั้ง พูดง่ายๆก็คือไม่ได้หวังผลเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ

จากผลโพลเป็นบทสะท้อนได้อย่างดีถึงความขยะแขยงบรรดานักการเมืองทั้งหลายของประชาชน ที่บอกเป็นนัยว่าถ้าขืนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงต้องเจอกับปัญหาข้าวยากหมากแพงอีกครั้ง และหากเลือกพรรคเพื่อไทย ก็คงจะมัวสาละวนฟอกขาวให้นายใหญ่ของตัวเอง จนไม่มีเวลาไปทำอะไรให้บ้านเมืองดีขึ้น จึงอย่าได้แปลกใจหากประชาชนจะรู้เช่นเห็นชาติและเอือมระอากับบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด ก็ไม่ทำให้สันดานนักการเมืองไทยเปลี่ยนแปลง