xs
xsm
sm
md
lg

ปูนใหญ่หวั่น Q2กำไรหดตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ปูนซิเมนต์ไทยหวั่นไตรมาส2 กำไรต่ำกว่าไตรมาสแรก เหตุมาร์จินปิโตรเคมีลดลง จากการคลายความกังวลเม็ดพลาสติกขาดตลาด และจีนลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งทำให้ต้นทุนสูง แย้มได้เห็นการซื้อกิจการอย่างน้อย1โครงการแน่ พร้อมล้มแผนการขยายโรงปูนที่เขมร เหตุตลาดการใช้ปูนชะลอตัวลง

นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/2554 จะลดลงต่ำกว่าไตรมาส 1/2554ที่มีกำไรสุทธิ 9,207 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับวัตถุดิบคือแนฟธา (สเปรด)อ่อนตัวลงจากไตรมาสแรกปีนี้หลังจากคลายความกังวลปัญหาเม็ดพลาสติกขาดแคลนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น และจีนชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อสู้ปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังสูงทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงเช่นกัน

“ไตรมาส 2 นี้สถานการณ์ความต้องการใช้ปิโตรเคมีจะเปลี่ยนแปลงจากไตรมาส1/2554 เป็นไปตามฤดูกาลที่ไตรมาสนี้จะลดลงจากไตรมาสก่อน และจีนชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อสู้เงินเฟ้อ ส่งผลให้มาร์จินปิโตรเคมีเริ่มต่ำกว่าไตรมาส 1 แล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังจับตาเรื่องค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด หลังจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น“

ปัจจุบันราคาเม็ดพลาสติก HDPE มีสเปรดต่ำกว่า 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากไตรมาส1/2554 สเปรด HDPE อยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเม็ดพลาสติกPP มีสเปรดอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนที่มีสเปรดตันละ 700 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาแนฟธาไตรมาส1/2554 อยู่ที่ 910 เหรียญสหรัฐ/ตัน

นายเชาวลิต กล่าวต่อไปว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2554 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 92,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 35% และมีกำไรสุทธิ 9,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 34% เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ

นายเชาวลิต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีปริมาณขายปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่โรงโอเลฟินส์มาบตาพุดแล้วเสร็จตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2553 ซึ่งขณะนี้เดินเครื่องแล้ว 85% และคาดว่าโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ และโรงงานระยองโอเลฟินส์จะเดินเครื่องเต็มที่ 100%ภายในปลายปีนี้

ส่วนแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีในปี2554 นับว่าเป็นปีที่การแข่งขันสูง เนื่องจากกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกล้นตลาด จากปีนี้ที่มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้นอีก 6 ล้านตันจากปีก่อนที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา 12 ล้านตัน และปีหน้ากำลังการผลิตจะเพิ่มอีก 3 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในตลาดโลกเพิ่มขึ้นปีละ 6-7 ล้านตัน

****ไตรมาสนี้ได้ข้อสรุปซื้อกิจการ1โครงการ

นายเชาวลิต กล่าวต่อไปว่า แผนการลงทุนใน 5 ปีนี้ (2554-2558) จะใช้เงินลงทุน 1 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการลู่ทางการลงทุนเพิ่มเติมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยแหล่งเงินทุนมาจากการเม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นบมจ.ปตท.เคมิคอล และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA)ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากไตรมาส1/2554 บริษัทฯมี EBITDA 1.3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯจะได้ข้อสรุปในการซื้อกิจการ ในไตรมาส2 นี้อย่างน้อย 1 โครงการและไม่มีแผนจะขายหุ้นที่เหลือในบมจ.ปตท.เคมิคอลอีก 4% แม้ว่าจะมีการควบรวมกิจการระหว่างบมจ.ปตท.เคมิคอลกับบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการลงทุนด้านการเงิน

เบรกแผนขยายโรงปูนที่เขมร
ส่วนแผนการขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ที่เมืองกัมปอต ประเทศกัมพูชานั้น ขณะนี้บริษัทฯไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตปูนที่กัมพูชา เนื่องจากตลาดปูนซีเมนต์ได้ชะลอตัวลง โดยยืนยันว่าการล้มแผนการขยายกำลังการผลิตปูนดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น