xs
xsm
sm
md
lg

จำคุก6ปีแก๊งผู้พันตึ๋ง รีดเงินผู้ค้า-เสธ.ยอดรอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 6 ปี “ผู้พันตึ๋ง” กับพวกร่วมกรรโชกทรัพย์ผู้ค้าตลาดวโรรส-ไนท์บาซาร์ ขณะหัวหน้าเทศกิจเทศบาลนครเชียงใหม่โดนคุก 9 ปี ส่วน “เสธ.ยอด” รอดตัวศาลยกฟ้อง

วานนี้ (26 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ด3203/2540 ที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ ฟ้อง ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายศรายุธ ภู่พลับ , นายธานี ฟูทอง, นายพรชัย สุคัณธสิริกุล, นายธีรยุทธ สุวรรณพาณิชย์ , พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือ ผู้พันตึ๋ง, พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย หรือ เสธ.ยอด , นายนิสสันต์ ชาติชำนิ (เสียชีวิต) และ จ.ส.อ.สุทิน ศรีเมืองหลวง เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น เป็นสมาชิกเทศบาลเรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยทุจริต และร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 44, 45, 83, 86, 148, 149, 157, 337 กรณีจำเลยทั้ง 8 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์จากผู้ค้าจำนวน 128 ราย ในตลาดวโรรส และตลาดไนท์บาซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ เหตุเกิดระหว่างวันที่ 20 พ.ย.38-31 พ.ค.39 ระหว่างการพิจารณาคดี นายนิสสันต์ จำเลยที่ 7 ถึงแก่ความตาย จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบทความ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่าย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าเทศกิจเทศบาลนครเชียงใหม่ จำเลยที่ 2-4 เป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ ส่วนจำเลยที่ 5-6 เป็นที่ปรึกษายานกเทศบาลนครเชียงใหม่ พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มี พ.ต.อ.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ (ยศในขณะนั้น) เบิกความเป็นพยานว่า ที่มาของคดีนี้เกิดจากมีฆ่านายชัยกร ไม้หอม บุตรบุญธรรมของนายเกษม คำวงศ์ษา พ่อค้าน้ำดื่มในตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อนายเกษม ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองทั้งรายวัน รายเดือน นอกจากนี้ ยังถูกบังคับให้ซื้อรถเข็นกาแล เมื่อไม่ทำตามจึงถูกกดดันไม่ให้ขายของในตลาด โดยจำเลยกับพวกที่เป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ แต่งกายคล้ายทหาร พกวิทยุสื่อสาร จะคอยเดินตรวจตลาด พูดจาข่มขู่ผู้ค้าในตลาด จึงไปร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับจำเลยดังกล่าว

โจทก์ ยังมีผู้เสียหาย เป็นผู้ค้าในตลาดเบิกความเป็นพยานในทำนองเดียวกันว่า ถูกจำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินรายวันวันละ 200-300 บาท เก็บค่าแผงรายเดือน เดือนละ 1,500 บาท โดยจำเลยที่ 2-5 บังคับให้ผู้ค้าซื้อรถเข็นทรงกาแล กับจำเลยที่ 4 ราคาคันละ 2,700 บาท กับต้องจ่ายค่าฝากรถเข็นอีกเดือนละ 500 บาท เรียกเก็บค่าหลอดไฟ ค่าขยะ โดยจำเลยอ้างว่าเป็นเงินที่นำเข้าไปสู่เทศบาลนครเชียงใหม่ แต่ไม่มีใบเสร็จรับเงินแต่อย่างใด หากใครไม่ซื้อหรือไม่จ่ายจะถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจกวดขันเข้มงวดในการจับกุม ห้ามเปิดและปิดขายนอกเวลา บีบบังคับให้ยอมจ่ายค่าต่างๆ ต่อมามีการเปิดโปงข่าวต่อสาธารณชน ผู้ค้าจึงไม่ยอมจ่ายเงินค่าคุ้มครองอีก เชื่อว่าพยานเบิกความสมเหตุสมผลไปตามความจริง ทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน หากจำเลยไม่ได้กระทำผิดใดๆ ผู้เสียหายคงไม่เบิกความได้สอดคล้องกันเช่นนี้

นอกจากนี้ จากการตรวจค้นบ้านพักของจำเลยที่ 1 และ 4 พบหลักฐานเป็นภาพรถเข็นทรงกาแล ระบุราคา 2,700 บาท รวมทั้งเอกสารแบ่งหน้าที่รับผิดชอบที่จำเลยจะต้องร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจ เข้าไปดูแลทั้งที่ตลาดไนท์ บาซาร์ ตลาดวโรรส และโรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น มีแผนผังเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าที่ตลาดไนท์บาซาร์ จำนวน 700 แผง แผงละ 20,000 บาท มูลค่า 14 ล้านบาท และยังมีค่าแป๊ะเจี๊ย ค่าฝากรถ และค่าอื่นๆ เป็นหลักฐานที่สนับสนุนคำเบิกความของพยานให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-5 ร่วมกันวางแผนเก็บเงินจากผู้ค้าในตลาดต่างๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำกันเป็นขั้นตอน ใช้วิธีการบีบบังคับ ด้วยการเข้มงวดกวดขันในการจับกุมโดยไม่ผ่อนปรน และบังคับให้ซื้อรถเข็นทรงกาแล พร้อมเรียกเก็บค่าฝากรถ อันเป็นกระทำที่ข่มขืนจิตใจผู้อื่น ให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน มีเจตนาข่มขู่ว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตและร่างกาย

ขณะที่จำเลยที่ 6 และ 8 โจทก์มีเพียงพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การไว้ในชั้นสอบสวน แต่ไม่ได้นำตัวมาเบิกความในชั้นศาล จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า จึงยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 6และ 8 ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 6 และ 8

พิพากษา ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นตัวการ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 อันเป็นบทลงโทษหนักที่สุด ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 9 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เช่นกัน ลงโทษจำคุกคนละ 6 ปี กับให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6 และ 8

ภายหลัง พล.ต.อินทรัตน์ กล่าวว่า ขอขอบคุณศาล ซึ่งความยุติธรรมมีอยู่ในโลกจริง จากนี้ตนจะเดินหน้าทำงานเพื่อสังคมในด้านกีฬาต่อไป และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น