ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - มทภ.2 ฮึ่มพร้อมรบแตกหักหากกัมพูชายิงก่อน ย้ำถล่มเป้าหมายทหารเท่านั้น "โฆษก ทภ.2" ไม่มีการเจรจากับฝ่ายทหารเขมรอีก เพราะไร้ผล ทุกอย่างขึ้นอยู่ “ฮุน เซน”ตัดสินใจคนเดียว มั่นใจกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 รับมือปะทะเขมรได้สบาย ลั่นสงครามนี้ไทยไม่มีวันแพ้ แฉเล่ห์เขมรสร้างโล่มนุษย์ขนเด็ก-ผู้หญิงนับพันประชิดชายแดนหวังใช้เป็นเหยื่อทำลายประเทศไทย ศูนย์ ปชส.กองทัพภาค 2 เผยตัวเลขปะทะ 4 วันทหารไทยพลีชีพ 5 เจ็บ 35 นาย ส่วนเขมรเสียชีวิตมากกว่า 10 ศพ
วานนี้ (25 เม.ย.) พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านประสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยได้ระบุถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่ากองทัพไทยได้ใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศโจมตีฝ่ายกัมพูชาว่า ตั้งแต่มีเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้กองกำลังป้องกันชายแดนประจำตามปกติ ไม่เคยมีการใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศมาสนับสนุนการสู้รบในครั้งนี้ เพราะกำลังของเรายังมีความสามารถในการสู้รบได้ ฉะนั้น จึงขอยืนยันว่ากองทัพไทย ไม่มีการใช้กำลังทางอากาศล่วงล้ำอธิปไตยของกัมพูชาอย่างแน่นอน
"จากการประเมินสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอรับการสนับสนุนเครื่องบินรบหรือกำลังทางอากาศจากกองทัพอากาศและยืนยันว่าการสู้รบกับฝ่ายกัมพูชาไม่ว่าจะรูปแบบใดความเป็นไปได้ที่ทางกองทัพไทยจะพ่ายแพ้นั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีโอกาสเลย” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า สถานการณ์สู้รบกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาล่าสุดจนถึงขณะนี้จากที่รายงานทราบว่า การปะทะได้คลี่คลายลงเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.ของวันที่ 24 เม.ย.และในช่วงค่ำเกิดการปะทะขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติทางทหาร เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชาเห็นว่ามีการวางกำลังเผชิญหน้ากันจึงได้ส่งกองลาดตระเวนเข้ามาสอดแนมในเขตที่ตั้งของทหารไทย ทางฝ่ายทหารไทยพบเข้าจึงมีการปะทะกันเล็กน้อยด้วยอาวุธปืนเล็ก เหตุปะทะครั้งนี้ทำให้ผู้บังคับหมวดชุดดังกล่าวยศร้อยโท ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างการปะทะ แต่ได้รับการผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกเรียบร้อยและอาการล่าสุดปลอดภัย
**ชี้ไม่มีการเจรจากับทหารเขมรอีก
เมื่อถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่าจะไม่เจรจากับฝ่ายกัมพูชานั้นข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ความจริงแล้วทางผู้บังคับบัญชาในพื้นที่และทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กำชับให้พยายามเจรจาพูดคุยกับผู้นำทหารในทุกระดับของฝ่ายกัมพูชาทุกครั้งที่เกิดการปะทะ เพื่อไม่ให้วงสู้รบขยายวงกว้างออกไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตารมนโยบายที่ทางผู้บัญชาการทหารบกได้ให้ไว้ และในการปฏิบัติกับเหตุการณ์ก็เช่นเดียวกันก่อนหน้านี้ทางทหารได้ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอดเพื่อจำกัดวงของการสู้รบให้แคบลง
“แต่มา ณ ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 มองว่า เมื่อมีการประสานการปฏิบัติระหว่างกันมาโดยตลอดแล้ว แต่ทางกัมพูชามีเพียงสมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชาเป็นผู้ตัดสินใจได้เพียงคนเดียว ดังนั้นการประสานต่างๆ จึงไม่สัมฤทธิ์ผล” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว และกล่าวต่อว่า
อย่าไรก็ตาม ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 พยายามจำกัดพื้นที่ของการปะทะให้อยู่ในวงที่จำกัดมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปราสาทตาควาย ขยายมาที่ปราสาทตาเมือนธม และเมื่อวานนี้การปะทะก็อยู่ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเท่านั้น ยังไม่มีการขยายออกไปที่อื่นโดยเฉพาะด้านปราสาทเขาพระวิหาร
**มทภ.2 ลั่นตอบโต้ถึงขั้นแตกหัก
ด้าน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เปิดเผยว่า กำลังพลทหารกองทัพภาคที่ 2 มีความพร้อมเต็มที่ในการรักษาอธิปไตยที่ส่งผลกระเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และจะตอบโต้ทันทีถึงขั้นแตกหัก ทั้งทางบกและทางอากาศหากทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ทั้งนี้ ทหารไทยยึดหลักสากล คือการตอบโต้ไปยังเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ต่างจากทหารกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่เข้าบ้านหนองคันนา อ.พนมดงรัก 10 ลูก
**กลาโหมเผยทหารพร้อมยิงโต้เขมร
ทางด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ รมว.กลาโหมเป็นประธานในการประชุมว่า สำหรับจุดยืนของกองทัพต่อสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา คือ ขอให้เชื่อมั่นว่า ทางกระทรวงกลาโหม กองทัพต่างๆมีความพร้อมตลอดเวลา และให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ของ เราต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สามารถดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้ และเราจะไม่ให้ใครเข้ามาย่ำยีประเทศไทยของเรา ยืนยันว่า สิ่งที่เราตอบโต้อยู่บนเหตุผล และความเหมาะสม ขอให้สบายใจได้
***ใช้เด็ก-สตรีเป็นโล่หวังประณามไทย
มีรายงานว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ทางทหารกัมพูชาได้มีการทยอยนำครอบครัวกัมพูชาที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรีเข้ามาอาศัยอยู่ตลอดแนวชายแดนปราสาทเขาพระวิหารใน 7 พื้นที่
ซึ่งจากการที่ทหารกัมพูชา นำครอบครัวเข้ามาอาศัยในพื้นที่ทางทหาร คาดว่า ทหารกัมพูชามีวัตถุประสงค์ เพื่อ ป้องการกันเข้าปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทย โดยเฉพาะพื้นที่ต่างอ้างสิทธิ์ หรือพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชา เสียเปรียบหรือล่อแหลมต่อการขัดแย้งกันด้วยอาวุธ เนื่องจากหากฝ่ายไทยดำเนินการอาจจะส่งผลต่อพลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และหากฝ่ายไทยมีการเราดำเนินการ ฝ่ายกัมพูชาจะร้องเรียนต่อองค์กรระหว่างประเทศ , องค์กรสิทธิมนุษยชน และทำการปฏิบัติการข่าวสารต่อฝ่ายเรา เพื่อประณามประเทศไทยว่าทำร้ายประชาชน ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และยกระดับปัญหาขึ้นสู่เวทีโลก
**ชายแดนสุรินทร์ยังปะทะกันดุเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านประสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ว่า วานนี้ (25 เม.ย.)ทั้งสองฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น.เป็นต้นมา จนกระทั่งเสียงปืนกล และปืน ค.ที่ยิงปะทะกันได้เงียบลงในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น.ท่ามกลางข่าวลือสะพัดว่า จะมีการปะทะกันครั้งใหญ่เกิดขึ้นและเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 ได้แจ้งเตือนให้ทุกฝ่ายเฝ้าระวังการสู้รบครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาประมาณ 12.00 น.ปรากฏว่า ได้มีเครื่องบินรบของไทย คาดว่าเป็นเครื่องบินเอฟ 16 ขึ้นบินลาดตระเวนใกล้กับพื้นที่ชายแดนปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยและประชาชนต่างพากันมองดูบนท้องฟ้าด้วยความสนใจ ขณะที่ทหารไทยตรวจการณ์พบว่าทหารกัมพูชาได้พากันแตกตื่นเครื่องบินรบของไทย วิ่งลงหลุมหลบภัยกันจ้าละหวั่น
**เขมรเหิมบุกโจมตีหวังยึดปราสาทไทย
ต่อมาตั้งแต่เวลา 18.05 น.เป็นต้นมา ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงถล่มกันอย่างหนักขึ้นอีกครั้งที่บริเวณชายแดนปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได โดยได้ยินเสียงปืนอาวุธเบาและอาวุธทั้งปืนอาก้า ปืนเอ็ม 16 ปืนกล ปืน ค.และปืนใหญ่ ยิงต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่าทหารกัมพูชาได้ยกกองกำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อพยายามยึดปราสาทตาควายตามที่ทหารไทยได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งกำลังทหารพรานชุดเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี และทหารราบจากกองทัพภาคที่ 2 ได้ยิงตอบโต้อย่างหนักเช่นกันเพื่อปกป้องอธิปไตยและพื้นที่ปราสาทตาควายของไทย
เจ้าอาวาสวัดเขาโต๊ะบ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุปะทะกัน แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้อย่างหนักหน่วง โดยใช้อาวุธหนักเบาทุกชนิดยิงเข้าใส่กันตลอดเวลา แต่ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวออกมาจากแนวปะทะแต่อย่างใด
**ปะทะกลางคืนไทยพลีชีพ1เขมรดับ4
ข่าวแจ้งว่า สำหรับการสู้รบเมื่อคืนวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 22.30 น.ทหารกัมพูชาได้ส่งกองกำลังติดอาวุธประมาณ 30 นายบุกเข้ามาโจมตีฐานที่มั่นทหารไทยทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก โดยใช้ยุทธวิธีซุ่มยิง และฝ่ายทหารไทยได้ยิงตอบโต้ ซึ่งการปะทะกันครั้งนี้ไม่มีรายงานการใช้อาวุธหนัก และเสียงปืนได้สงบลงเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.
ผลการปะทะทำให้ทหารพรานไทยเสียชีวิต 1 นาย คือ ทพ.อารี คงนาคเพนา สังกัดกองร้อยทหารพราน 961 ฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ และมีทหารไทยบาดเจ็บอีก 6 นายทั้งหมดถูกนำตัวเข้ามารักษาที่ รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธินฯ และ รพ.ศูนย์สุรินทร์ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนทหารกัมพูชามีรายงานว่า เสียชีวิต 4 นาย
ล่าสุด ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้าได้สรุปตัวเลขทหารไทยเสียชีวิตจากเหตุปะทะเพิ่มเป็น 5 นาย บาดเจ็บ 35 นาย ส่วนตัวเลขผู้อพยพของ จ.สุรินทร์ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 25,000 คน จ.บุรีรัมย์ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4,500 คน
**เผยนายทหารเขมรดับพร้อมลูกน้อง14
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนด้าน อ.พนมดงรัก ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา (22-24) ได้มีกระสุนปืนไร้แรงสะท้อนของทหารกัมพูชา ยิงเข้าตกที่บ้านหนองคันนาหมู่ที่ 8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธมมากที่สุดรวม 14 ลูกระเบิด 2 ลูกไม่ระเบิด 12 ลูก ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารไทยระบุว่ากระสุนปืนของทหารกัมพูชาดังกล่าว มีสภาพเก่าและการยิงไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนการปะทะกันเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานพบว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากการเข้าโจมตีพยายามบุกยึดปราสาทตาควาย และตาเมือนธมครั้งนี้ 14 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก และหนึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นนายทหารผู้บังคับบัญชาระดับสูงรวมอยู่ด้วย ซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่ได้รับแจ้งพบเห็นทหารกัมพูชาใช้รถกระบะขนศพทหารเขมรออกไปจากพื้นที่ 2 คันรถ คันละ 7 ศพดังกล่าว
**“ปู่จิ้น-กษิต”ลงพื้นที่เยี่ยมผู้อพยพสุรินทร์
ส่วนบรรยากาศที่ศูนย์อพยพนิคมสร้างตนเองปราสาท อ.ปราสาท ได้มีหลายหน่วยงานนำสิ่งของมาบริจาคตั้งแต่ช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ายังขาดแคลนน้ำดื่มบรรจุขวด เครื่องใช้ส่วนตัวโดยเฉพาะของเด็กและสตรี เช่น ผ้าอ้อม ผ้าอนามัย สบู่ และยาสีฟัน เป็นต้น
ขณะที่ในเวลา 10.30 น.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ได้เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพชั่วผู้ประสบภัยการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นิคมสร้างตนเองปราสาท อ.ปราสาท เพื่อมอบสิ่งของให้กำลังประชาชน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และได้ร่วมประชุมกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ รวมถึงนายอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชาและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และฝ่ายปกครองเร่งช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุปะทะอย่างทั่วถึง
ต่อมาเวลา 11.00 น.นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพชั่วคราวบ้านโคกกลาง อ.พนมดงรัก เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เช่นกัน โดยมี พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่บรรยายสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้รับทราบ
นายกษิต กล่าวว่า เรามีความจำเป็นที่ทหารต้องทำการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างที่สุด หากมีต่างชาติรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จนเกิดการปะทะขึ้นและจำเป็นต้องทำการอพยพประชาชนออกมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ ในที่ต่างๆ การเดินทางมาในครั้งนี้ เพื่อมารับทราบและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปชี้แจงต่อประชาคมชาติต่างๆ ให้เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะที่ตนเป็นคนที่จะต้องชี้แจงเพื่อต่างชาติจะได้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
"อย่างไรก็ตาม จะหาวิธีการเพื่อให้ยุติปัญหาให้เร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนได้กลับไปอยู่ที่บ้านและทำมาหากินอย่างมีความสุข และการที่มาอยู่ยังศูนย์อพยพเชื่อว่าทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดและฝ่ายปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงได้ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีและขอให้อดทนอีกนิด เพื่อที่รัฐบาลจะได้หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ยุติลงต่อไป"
**ปภ.สั่งระดมช่วยผู้อพยพใน3อำเภอ
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)กล่าวถึงเหตุปะทะดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.จนถึงขณะนี้ว่าส่งผลให้ราษฎรพื้นที่ จ.สุรินทร์ได้รับความเดือดร้อน 2 ตำบล 36 หมู่บ้านได้แก่ ต.ตาเมียงและ ต.บักได อ.พนมดงรัก ทหารเสียชีวิต 5 รายบาดเจ็บ 33 ราย
ทั้งนี้ ได้อพยพราษฎรประมาณ 25,942 คนไปอาศัยที่จุดรองรับการอพยพ 22 จุดได้แก่ 1.จุดรองรับผู้อพยพ อ.พนมดงรัก 3 จุด จำนวนผู้อพยพ 5,292 คน ,2.จุดรองรับผู้อพยพ อ.กาบเชิง 4 จุด จำนวน ผู้อพยพ 3,817 คน ,3.จุดรองรับผู้อพยพ อ.ปราสาท 13 จุด ผู้อพยพ 15,719 คน และ 4.จุดรองรับผู้อพยพ อ.สังขะ 2 จุด ผู้อพยพ 1,114 คน
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า ทาง ปภ.ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 3 ปราจีนบุรี, เขต 5 นครราชสีมา, เขต 6 ขอนแก่น, เขต 7 สกลนคร และเขต 13 อุบลราชธานี สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.สุรินทร์ โดยจัดเจ้าหน้าที่ 34 นาย พร้อมรถผลิตน้ำดื่ม 4 คัน รถไฟฟ้าส่องสว่าง 5 คัน รถบรรทุกน้ำ14 คัน เต็นท์ 420 หลัง รถบรรทุกขนาดใหญ่ 2 คัน สุขาเคลื่อนที่ 60 หลัง ออกให้บริการประชาชนตามจุดรองรับการอพยพต่างๆ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
**บุรีรัมย์สั่งอพยพเกลี้ยง 2 ตำบล
ส่วนด้าน จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ทางนายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อพยพชาวบ้านที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในเขต ต.สายตะกู และ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ออกจากหมู่บ้านทั้งหมด เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากจุดปะทะอยู่ห่างจากหมู่บ้านเพียง 4-5 กิโลเมตร โดยให้เหลือเพียงชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสารักษาดินแดน (อส.) และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คอยดูแลรักษาความปลอดภัยภายในหมู่บ้านเท่านั้น
**ตูมสนั่น2ครั้งที่"ภูมะเขือ"ศรีสะเกษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณภูมะเขือด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร ติดกับบ้านหนองอุดม ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีเสียงดังคล้ายกับเสียงปืนใหญ่หรือเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ระยะเวลาเสียงดังห่างกันประมาณ 20 นาที ในช่วงระหว่างเวลา 10.00-10.30 น.ซึ่งได้ทำให้ชาวบ้านภูมิซรอลที่ได้ยินเสียงระเบิดนี้พากันขวัญผวาวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกันอย่างโกลาหล แต่เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าไม่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร ชาวบ้านภูมิซรอลและชาวบ้านหนองอุดมได้พากันออกมาประกอบอาชีพตามปกติ แต่ยังไม่หายจากอาการหวาดผวาเสียงดังที่คล้ายกับเสียงปืนใหญ่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
ทั้งนี้ ประชาชนชาวบ้านภูมิซรอลและหมู่บ้านชายแดน ด้านเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ต่างพากันเก็บข้าวของทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดบรรจุใส่กระเป๋าเอาไว้เพื่อเตรียมอพยพได้ทันที หากว่ามีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร หรือได้รับแจ้งจากทางราชการให้อพยพเพื่อไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะมีแนวโน้มว่า การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาอาจขยายวงกว้างมายังบริเวณชายแดนด้านเขาพระวิหาร
**"มาร์ค"ยังหวังคุย"ฮุน เซน"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายมาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ไม่เดินทางมาพบกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ตามกำหนดนัดไว้ในเย็นวันนี้ ว่า นายกษิต ได้รายงานว่า ยังไม่เรียบร้อยเพราะมีประเด็นที่ต้องรอดูในรายละเอียดอีกครั้ง แต่นายกษิต มีกำหนดการจะเดินทางเข้าไปพบกับประธานอาเซียนในวันที่ 28 เม.ย.นี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไทยพยายามที่จะให้เหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลาย และไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย ซึ่งจะพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงกับประเทศต่างๆ และขอย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา ยังอยู่ในวิสัยที่จะคุยกันเองได้ในระดับทวิภาคี ไม่จำเป็นต้องให้ประเทศที่ 3 เข้ามา แต่ก็เป็นความพยายามของกัมพูชาที่มีเป้าหมายจะยกระดับปัญหาสู่เวทีนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย วันที่ 7-8 พ.ค.จะได้พบกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
**นายกฯขาสั่นเยี่ยมทหารบาดเจ็บ
วันเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังได้เดินทางเข้าเยี่ยมอาสาสมัครทหารพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจที่ จ.แม่ฮ่องสอน โดยนายกรัฐมนตรีได้นำกระเช้า แจกันดอกไม้ มามอบเพื่อเป็นกำลังใจให้กับ พลอาสาสมัครทหารพราน จักรี ลอยหา และพลอาสาสมัครทหารพราน บุญฤทธิ์ บัวงาม 2 ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นอาการบาดเจ็บของ 2 อาสาสมัครทหารพราน ได้พ้นขีดอันตรายและมีอาการดีขึ้นตามลำดับแล้ว
**นพเหล่โต้แม้วไม่ได้อยู่เบื้องหลังเขมร
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีต รอง ผบ.ทอ.ระบุถึงการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ในแนวเขตชายแดนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการตั้งกองกำลังร่วมกับทางกัมพูชา เพื่อสร้างความวุ่นวายในประเทศไทย หรือกระแสข่าวว่า ในตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังอาศัยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา นั้น ตนขอปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา และการปะทะกันที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศด้วย ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเอาใจช่วย และแสดงความเสียใจต่อทหารผู้เสียชีวิต และประชาชนที่ได้รำความเดือดร้อนในพื้นที่ในขณะนี้ด้วย
วานนี้ (25 เม.ย.) พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านประสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยได้ระบุถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่ากองทัพไทยได้ใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศโจมตีฝ่ายกัมพูชาว่า ตั้งแต่มีเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้กองกำลังป้องกันชายแดนประจำตามปกติ ไม่เคยมีการใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศมาสนับสนุนการสู้รบในครั้งนี้ เพราะกำลังของเรายังมีความสามารถในการสู้รบได้ ฉะนั้น จึงขอยืนยันว่ากองทัพไทย ไม่มีการใช้กำลังทางอากาศล่วงล้ำอธิปไตยของกัมพูชาอย่างแน่นอน
"จากการประเมินสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอรับการสนับสนุนเครื่องบินรบหรือกำลังทางอากาศจากกองทัพอากาศและยืนยันว่าการสู้รบกับฝ่ายกัมพูชาไม่ว่าจะรูปแบบใดความเป็นไปได้ที่ทางกองทัพไทยจะพ่ายแพ้นั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีโอกาสเลย” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า สถานการณ์สู้รบกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาล่าสุดจนถึงขณะนี้จากที่รายงานทราบว่า การปะทะได้คลี่คลายลงเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.ของวันที่ 24 เม.ย.และในช่วงค่ำเกิดการปะทะขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติทางทหาร เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชาเห็นว่ามีการวางกำลังเผชิญหน้ากันจึงได้ส่งกองลาดตระเวนเข้ามาสอดแนมในเขตที่ตั้งของทหารไทย ทางฝ่ายทหารไทยพบเข้าจึงมีการปะทะกันเล็กน้อยด้วยอาวุธปืนเล็ก เหตุปะทะครั้งนี้ทำให้ผู้บังคับหมวดชุดดังกล่าวยศร้อยโท ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างการปะทะ แต่ได้รับการผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกเรียบร้อยและอาการล่าสุดปลอดภัย
**ชี้ไม่มีการเจรจากับทหารเขมรอีก
เมื่อถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่าจะไม่เจรจากับฝ่ายกัมพูชานั้นข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ความจริงแล้วทางผู้บังคับบัญชาในพื้นที่และทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กำชับให้พยายามเจรจาพูดคุยกับผู้นำทหารในทุกระดับของฝ่ายกัมพูชาทุกครั้งที่เกิดการปะทะ เพื่อไม่ให้วงสู้รบขยายวงกว้างออกไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตารมนโยบายที่ทางผู้บัญชาการทหารบกได้ให้ไว้ และในการปฏิบัติกับเหตุการณ์ก็เช่นเดียวกันก่อนหน้านี้ทางทหารได้ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอดเพื่อจำกัดวงของการสู้รบให้แคบลง
“แต่มา ณ ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 มองว่า เมื่อมีการประสานการปฏิบัติระหว่างกันมาโดยตลอดแล้ว แต่ทางกัมพูชามีเพียงสมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชาเป็นผู้ตัดสินใจได้เพียงคนเดียว ดังนั้นการประสานต่างๆ จึงไม่สัมฤทธิ์ผล” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว และกล่าวต่อว่า
อย่าไรก็ตาม ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 พยายามจำกัดพื้นที่ของการปะทะให้อยู่ในวงที่จำกัดมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปราสาทตาควาย ขยายมาที่ปราสาทตาเมือนธม และเมื่อวานนี้การปะทะก็อยู่ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเท่านั้น ยังไม่มีการขยายออกไปที่อื่นโดยเฉพาะด้านปราสาทเขาพระวิหาร
**มทภ.2 ลั่นตอบโต้ถึงขั้นแตกหัก
ด้าน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เปิดเผยว่า กำลังพลทหารกองทัพภาคที่ 2 มีความพร้อมเต็มที่ในการรักษาอธิปไตยที่ส่งผลกระเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และจะตอบโต้ทันทีถึงขั้นแตกหัก ทั้งทางบกและทางอากาศหากทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ทั้งนี้ ทหารไทยยึดหลักสากล คือการตอบโต้ไปยังเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ต่างจากทหารกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่เข้าบ้านหนองคันนา อ.พนมดงรัก 10 ลูก
**กลาโหมเผยทหารพร้อมยิงโต้เขมร
ทางด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ รมว.กลาโหมเป็นประธานในการประชุมว่า สำหรับจุดยืนของกองทัพต่อสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา คือ ขอให้เชื่อมั่นว่า ทางกระทรวงกลาโหม กองทัพต่างๆมีความพร้อมตลอดเวลา และให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ของ เราต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สามารถดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้ และเราจะไม่ให้ใครเข้ามาย่ำยีประเทศไทยของเรา ยืนยันว่า สิ่งที่เราตอบโต้อยู่บนเหตุผล และความเหมาะสม ขอให้สบายใจได้
***ใช้เด็ก-สตรีเป็นโล่หวังประณามไทย
มีรายงานว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ทางทหารกัมพูชาได้มีการทยอยนำครอบครัวกัมพูชาที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรีเข้ามาอาศัยอยู่ตลอดแนวชายแดนปราสาทเขาพระวิหารใน 7 พื้นที่
ซึ่งจากการที่ทหารกัมพูชา นำครอบครัวเข้ามาอาศัยในพื้นที่ทางทหาร คาดว่า ทหารกัมพูชามีวัตถุประสงค์ เพื่อ ป้องการกันเข้าปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทย โดยเฉพาะพื้นที่ต่างอ้างสิทธิ์ หรือพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชา เสียเปรียบหรือล่อแหลมต่อการขัดแย้งกันด้วยอาวุธ เนื่องจากหากฝ่ายไทยดำเนินการอาจจะส่งผลต่อพลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และหากฝ่ายไทยมีการเราดำเนินการ ฝ่ายกัมพูชาจะร้องเรียนต่อองค์กรระหว่างประเทศ , องค์กรสิทธิมนุษยชน และทำการปฏิบัติการข่าวสารต่อฝ่ายเรา เพื่อประณามประเทศไทยว่าทำร้ายประชาชน ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และยกระดับปัญหาขึ้นสู่เวทีโลก
**ชายแดนสุรินทร์ยังปะทะกันดุเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านประสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ว่า วานนี้ (25 เม.ย.)ทั้งสองฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น.เป็นต้นมา จนกระทั่งเสียงปืนกล และปืน ค.ที่ยิงปะทะกันได้เงียบลงในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น.ท่ามกลางข่าวลือสะพัดว่า จะมีการปะทะกันครั้งใหญ่เกิดขึ้นและเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 ได้แจ้งเตือนให้ทุกฝ่ายเฝ้าระวังการสู้รบครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาประมาณ 12.00 น.ปรากฏว่า ได้มีเครื่องบินรบของไทย คาดว่าเป็นเครื่องบินเอฟ 16 ขึ้นบินลาดตระเวนใกล้กับพื้นที่ชายแดนปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยและประชาชนต่างพากันมองดูบนท้องฟ้าด้วยความสนใจ ขณะที่ทหารไทยตรวจการณ์พบว่าทหารกัมพูชาได้พากันแตกตื่นเครื่องบินรบของไทย วิ่งลงหลุมหลบภัยกันจ้าละหวั่น
**เขมรเหิมบุกโจมตีหวังยึดปราสาทไทย
ต่อมาตั้งแต่เวลา 18.05 น.เป็นต้นมา ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงถล่มกันอย่างหนักขึ้นอีกครั้งที่บริเวณชายแดนปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได โดยได้ยินเสียงปืนอาวุธเบาและอาวุธทั้งปืนอาก้า ปืนเอ็ม 16 ปืนกล ปืน ค.และปืนใหญ่ ยิงต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่าทหารกัมพูชาได้ยกกองกำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อพยายามยึดปราสาทตาควายตามที่ทหารไทยได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งกำลังทหารพรานชุดเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี และทหารราบจากกองทัพภาคที่ 2 ได้ยิงตอบโต้อย่างหนักเช่นกันเพื่อปกป้องอธิปไตยและพื้นที่ปราสาทตาควายของไทย
เจ้าอาวาสวัดเขาโต๊ะบ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุปะทะกัน แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้อย่างหนักหน่วง โดยใช้อาวุธหนักเบาทุกชนิดยิงเข้าใส่กันตลอดเวลา แต่ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวออกมาจากแนวปะทะแต่อย่างใด
**ปะทะกลางคืนไทยพลีชีพ1เขมรดับ4
ข่าวแจ้งว่า สำหรับการสู้รบเมื่อคืนวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 22.30 น.ทหารกัมพูชาได้ส่งกองกำลังติดอาวุธประมาณ 30 นายบุกเข้ามาโจมตีฐานที่มั่นทหารไทยทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก โดยใช้ยุทธวิธีซุ่มยิง และฝ่ายทหารไทยได้ยิงตอบโต้ ซึ่งการปะทะกันครั้งนี้ไม่มีรายงานการใช้อาวุธหนัก และเสียงปืนได้สงบลงเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.
ผลการปะทะทำให้ทหารพรานไทยเสียชีวิต 1 นาย คือ ทพ.อารี คงนาคเพนา สังกัดกองร้อยทหารพราน 961 ฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ และมีทหารไทยบาดเจ็บอีก 6 นายทั้งหมดถูกนำตัวเข้ามารักษาที่ รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธินฯ และ รพ.ศูนย์สุรินทร์ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนทหารกัมพูชามีรายงานว่า เสียชีวิต 4 นาย
ล่าสุด ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้าได้สรุปตัวเลขทหารไทยเสียชีวิตจากเหตุปะทะเพิ่มเป็น 5 นาย บาดเจ็บ 35 นาย ส่วนตัวเลขผู้อพยพของ จ.สุรินทร์ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 25,000 คน จ.บุรีรัมย์ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4,500 คน
**เผยนายทหารเขมรดับพร้อมลูกน้อง14
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนด้าน อ.พนมดงรัก ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา (22-24) ได้มีกระสุนปืนไร้แรงสะท้อนของทหารกัมพูชา ยิงเข้าตกที่บ้านหนองคันนาหมู่ที่ 8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธมมากที่สุดรวม 14 ลูกระเบิด 2 ลูกไม่ระเบิด 12 ลูก ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารไทยระบุว่ากระสุนปืนของทหารกัมพูชาดังกล่าว มีสภาพเก่าและการยิงไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนการปะทะกันเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานพบว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากการเข้าโจมตีพยายามบุกยึดปราสาทตาควาย และตาเมือนธมครั้งนี้ 14 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก และหนึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นนายทหารผู้บังคับบัญชาระดับสูงรวมอยู่ด้วย ซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่ได้รับแจ้งพบเห็นทหารกัมพูชาใช้รถกระบะขนศพทหารเขมรออกไปจากพื้นที่ 2 คันรถ คันละ 7 ศพดังกล่าว
**“ปู่จิ้น-กษิต”ลงพื้นที่เยี่ยมผู้อพยพสุรินทร์
ส่วนบรรยากาศที่ศูนย์อพยพนิคมสร้างตนเองปราสาท อ.ปราสาท ได้มีหลายหน่วยงานนำสิ่งของมาบริจาคตั้งแต่ช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ายังขาดแคลนน้ำดื่มบรรจุขวด เครื่องใช้ส่วนตัวโดยเฉพาะของเด็กและสตรี เช่น ผ้าอ้อม ผ้าอนามัย สบู่ และยาสีฟัน เป็นต้น
ขณะที่ในเวลา 10.30 น.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ได้เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพชั่วผู้ประสบภัยการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นิคมสร้างตนเองปราสาท อ.ปราสาท เพื่อมอบสิ่งของให้กำลังประชาชน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และได้ร่วมประชุมกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ รวมถึงนายอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชาและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และฝ่ายปกครองเร่งช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุปะทะอย่างทั่วถึง
ต่อมาเวลา 11.00 น.นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพชั่วคราวบ้านโคกกลาง อ.พนมดงรัก เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เช่นกัน โดยมี พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่บรรยายสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้รับทราบ
นายกษิต กล่าวว่า เรามีความจำเป็นที่ทหารต้องทำการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างที่สุด หากมีต่างชาติรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จนเกิดการปะทะขึ้นและจำเป็นต้องทำการอพยพประชาชนออกมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ ในที่ต่างๆ การเดินทางมาในครั้งนี้ เพื่อมารับทราบและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปชี้แจงต่อประชาคมชาติต่างๆ ให้เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะที่ตนเป็นคนที่จะต้องชี้แจงเพื่อต่างชาติจะได้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
"อย่างไรก็ตาม จะหาวิธีการเพื่อให้ยุติปัญหาให้เร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนได้กลับไปอยู่ที่บ้านและทำมาหากินอย่างมีความสุข และการที่มาอยู่ยังศูนย์อพยพเชื่อว่าทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดและฝ่ายปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงได้ดูแลประชาชนเป็นอย่างดีและขอให้อดทนอีกนิด เพื่อที่รัฐบาลจะได้หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ยุติลงต่อไป"
**ปภ.สั่งระดมช่วยผู้อพยพใน3อำเภอ
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)กล่าวถึงเหตุปะทะดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.จนถึงขณะนี้ว่าส่งผลให้ราษฎรพื้นที่ จ.สุรินทร์ได้รับความเดือดร้อน 2 ตำบล 36 หมู่บ้านได้แก่ ต.ตาเมียงและ ต.บักได อ.พนมดงรัก ทหารเสียชีวิต 5 รายบาดเจ็บ 33 ราย
ทั้งนี้ ได้อพยพราษฎรประมาณ 25,942 คนไปอาศัยที่จุดรองรับการอพยพ 22 จุดได้แก่ 1.จุดรองรับผู้อพยพ อ.พนมดงรัก 3 จุด จำนวนผู้อพยพ 5,292 คน ,2.จุดรองรับผู้อพยพ อ.กาบเชิง 4 จุด จำนวน ผู้อพยพ 3,817 คน ,3.จุดรองรับผู้อพยพ อ.ปราสาท 13 จุด ผู้อพยพ 15,719 คน และ 4.จุดรองรับผู้อพยพ อ.สังขะ 2 จุด ผู้อพยพ 1,114 คน
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า ทาง ปภ.ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 3 ปราจีนบุรี, เขต 5 นครราชสีมา, เขต 6 ขอนแก่น, เขต 7 สกลนคร และเขต 13 อุบลราชธานี สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.สุรินทร์ โดยจัดเจ้าหน้าที่ 34 นาย พร้อมรถผลิตน้ำดื่ม 4 คัน รถไฟฟ้าส่องสว่าง 5 คัน รถบรรทุกน้ำ14 คัน เต็นท์ 420 หลัง รถบรรทุกขนาดใหญ่ 2 คัน สุขาเคลื่อนที่ 60 หลัง ออกให้บริการประชาชนตามจุดรองรับการอพยพต่างๆ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
**บุรีรัมย์สั่งอพยพเกลี้ยง 2 ตำบล
ส่วนด้าน จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ทางนายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อพยพชาวบ้านที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในเขต ต.สายตะกู และ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ออกจากหมู่บ้านทั้งหมด เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากจุดปะทะอยู่ห่างจากหมู่บ้านเพียง 4-5 กิโลเมตร โดยให้เหลือเพียงชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสารักษาดินแดน (อส.) และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คอยดูแลรักษาความปลอดภัยภายในหมู่บ้านเท่านั้น
**ตูมสนั่น2ครั้งที่"ภูมะเขือ"ศรีสะเกษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณภูมะเขือด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร ติดกับบ้านหนองอุดม ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีเสียงดังคล้ายกับเสียงปืนใหญ่หรือเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ระยะเวลาเสียงดังห่างกันประมาณ 20 นาที ในช่วงระหว่างเวลา 10.00-10.30 น.ซึ่งได้ทำให้ชาวบ้านภูมิซรอลที่ได้ยินเสียงระเบิดนี้พากันขวัญผวาวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกันอย่างโกลาหล แต่เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าไม่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร ชาวบ้านภูมิซรอลและชาวบ้านหนองอุดมได้พากันออกมาประกอบอาชีพตามปกติ แต่ยังไม่หายจากอาการหวาดผวาเสียงดังที่คล้ายกับเสียงปืนใหญ่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
ทั้งนี้ ประชาชนชาวบ้านภูมิซรอลและหมู่บ้านชายแดน ด้านเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ต่างพากันเก็บข้าวของทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดบรรจุใส่กระเป๋าเอาไว้เพื่อเตรียมอพยพได้ทันที หากว่ามีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร หรือได้รับแจ้งจากทางราชการให้อพยพเพื่อไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะมีแนวโน้มว่า การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาอาจขยายวงกว้างมายังบริเวณชายแดนด้านเขาพระวิหาร
**"มาร์ค"ยังหวังคุย"ฮุน เซน"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายมาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ไม่เดินทางมาพบกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ตามกำหนดนัดไว้ในเย็นวันนี้ ว่า นายกษิต ได้รายงานว่า ยังไม่เรียบร้อยเพราะมีประเด็นที่ต้องรอดูในรายละเอียดอีกครั้ง แต่นายกษิต มีกำหนดการจะเดินทางเข้าไปพบกับประธานอาเซียนในวันที่ 28 เม.ย.นี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไทยพยายามที่จะให้เหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลาย และไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย ซึ่งจะพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงกับประเทศต่างๆ และขอย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา ยังอยู่ในวิสัยที่จะคุยกันเองได้ในระดับทวิภาคี ไม่จำเป็นต้องให้ประเทศที่ 3 เข้ามา แต่ก็เป็นความพยายามของกัมพูชาที่มีเป้าหมายจะยกระดับปัญหาสู่เวทีนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย วันที่ 7-8 พ.ค.จะได้พบกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
**นายกฯขาสั่นเยี่ยมทหารบาดเจ็บ
วันเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังได้เดินทางเข้าเยี่ยมอาสาสมัครทหารพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจที่ จ.แม่ฮ่องสอน โดยนายกรัฐมนตรีได้นำกระเช้า แจกันดอกไม้ มามอบเพื่อเป็นกำลังใจให้กับ พลอาสาสมัครทหารพราน จักรี ลอยหา และพลอาสาสมัครทหารพราน บุญฤทธิ์ บัวงาม 2 ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นอาการบาดเจ็บของ 2 อาสาสมัครทหารพราน ได้พ้นขีดอันตรายและมีอาการดีขึ้นตามลำดับแล้ว
**นพเหล่โต้แม้วไม่ได้อยู่เบื้องหลังเขมร
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีต รอง ผบ.ทอ.ระบุถึงการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ในแนวเขตชายแดนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการตั้งกองกำลังร่วมกับทางกัมพูชา เพื่อสร้างความวุ่นวายในประเทศไทย หรือกระแสข่าวว่า ในตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังอาศัยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา นั้น ตนขอปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา และการปะทะกันที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศด้วย ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเอาใจช่วย และแสดงความเสียใจต่อทหารผู้เสียชีวิต และประชาชนที่ได้รำความเดือดร้อนในพื้นที่ในขณะนี้ด้วย