** คิดวิเคราะห์หลายรอบถึงความเป็นไปได้-ความเป็นไปไม่ได้ ทำได้จริงหรือแค่โฆษณาชวนเชื่อกับคำประกาศนโยบายการหาเสียงของทักษิณ ชินวัตร กับสโลแกนหาเสียง
**“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
ที่ประกาศในงานเปิดตัวผู้สมัครส.ส. และนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันเสาร์ที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนโยบายหลายข้อที่เกี่ยวกับปัญหาพื้นฐาน ต้องยอมรับกันจริงๆ ว่า ประชาธิปัตย์ คิดช้า และคิดไม่ตกผลึก สู้เพื่อไทยและทักษิณไม่ได้
เช่นนโยบายการสร้างรายได้ และเพิ่มโอกาส ที่ประชาธิปัตย์บอกแค่ว่า จะขึ้นเงินค่าจ้างขั้นต่ำให้ประชาชนอีก 25 เปอร์เซนต์ แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยบอกว่าจะทำอย่างไร ที่ทำให้นายจ้างสามารถอยู่ได้ ไม่ต้องเลิกกิจการ หรือไปตัดส่วนสวัสดิการส่วนอื่นของพนักงาน
แต่ทักษิณ-เพื่อไทย บอกเลยว่าจะใช้มาตการด้านภาษี คือ ลดการเก็บภาษีนิติบุคคลจาก 30 % เหลือ 23 % ทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้บริษัทเอกชนลดการจ่ายภาษี จะได้นำเงินที่เสียน้อยลงไปเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงาน คือ ปริญญาตรี สตาร์ทขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนค่าจ้างรายวันขั้นต่ำวันละ 300 บาท
หรือเรื่องการให้ประชาชน-คนรุ่นใหม่ เข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการทำโครงการกองทุนมหาวิทยาลัย แห่งละ 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนให้สินเชื่อแก่นักศึกษาที่กำลังจะจบ แล้วอยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองเพื่อสร้าง “เถ้าแก่ใหม่”
ตลอดจนแนวคิดบัตรเครดิตเกษตรกร ที่จะทำให้เกษตรกร มีศักดิ์ศรีของตัวเองในการไปซื้อสินค้า เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต เช่น ปุ๋ย จะได้ซื้อปุ๋ยในราคาเป็นจริง ไม่ถูกพ่อค้าโก่งราคาบวกดอกเบี้ย รวมถึงการประกาศนโยบายระยะยาวเช่นการป้องกันปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพฯ ด้วยการตามรอยเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ คือใช้วิธีถมทรายบริเวณพื้นที่รอบกรุงเทพฯ คือที่ สมุทรสาครถึงปากน้ำ เพื่อสร้างเมืองใหม่ และทำให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของประเทศ
**สิ่งเหล่านี้พบว่า ทีมยกร่างนโยบายประชาธิปัตย์ ซึ่งประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณ์ จาติกวนิช ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ยังไม่สามารถขับเคลื่อนแนวคิดที่มองประเทศในระยะไกล และแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่า เพื่อไทยได้
ถือว่า ด้านนโยบายโดยทีมเพื่อไทย ทั้ง โอฬาร ไชยประวัติ และ พิชัย นริพทะพันธุ์ ตีกินไปก่อน
อย่างไรก็ตาม คำประกาศนโยบายของทักษิณ ก็จะพบเช่นกันว่า หลายแนวคิดชัดเจนว่า เป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ เพ้อฝัน หวังหลอกหาเสียงกับคนที่ไม่ได้คิดตาม คือมุ่งหวังแต่คะแนนเสียง แต่ไม่ได้คำนึงว่าจะทำได้จริงหรือไม่ และหากทำแล้ว ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแจกแทปเล็ต หรือ ก็คือไอแพด ให้กับเด็กนักเรียนตั้งแต่ ป.1 ทุกคนทั่วประเทศ ซึ่งดูแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขนาดเรียนฟรีทุกวันนี้ก็รู้กันดีอยู่ แต่ละปียังมีเด็กจำนวนมากที่ออกจากระบบการศึกษา เพราะที่บ้านไม่มีปัญญาส่งลูกหลานเรียน แล้วจะมาแจกไอแพด คนละเครื่องได้อย่างไร
หรือการประกาศจะทำรถไฟฟ้าอีก 10 สาย โดยคิดเงินค่าโดยสาร 20 บาทตลอดเส้นทาง อันนี้ยิ่งทำไม่ได้เลยในความเป็นจริง รวมถึงการหาเสียงแบบสิ้นคิด เช่น จะให้เงินอุดหนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นมากขึ้น เช่น ที่ไหนเก็บได้ไม่ถึง 10 ล้าน ก็จะให้เป็น 10 ล้าน หรือไม่ถึง 20 ล้าน ก็ให้ 20 ล้าน
ถามว่า ทั้งหมดทักษิณ จะเอาเงินจากไหน หลายเรื่องเอกชนเป็นคนทำ และบริหารโครงการเช่น เรื่องรถไฟฟ้า รัฐบาลจะไปบังคับให้เก็บเงิน 20 บาทตลอดสายได้อย่างไร เรื่องแบบนี้ ทักษิณ ก็ไม่ได้อธิบายขยายความ เอาแค่ประกาศหาเสียงฉาบฉวย ให้คนฮือฮาเล่น ใครไม่ได้คิดตาม พอได้ยินมาว่าเลือกเพื่อไทยแล้วได้ขึ้นรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ก็เลือกกันเลย แบบนี้ก็หลงกลทักษิณ อีกรอบจนได้
**ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย เช่น สื่อสารมวลชน นักวิชาการ ผู้รู้จริงในเรื่องเชิงนโยบายต่างๆ จะต้องให้ความรู้กับประชาชน ซึ่งไม่ใช่แค่กับเพื่อไทย แต่ต้องการทุกพรรคการเมืองด้วยว่าสิ่งที่นักการเมืองประกาศหาเสียงนั้น มันทำได้จริง หรือหลอกลวงกันแน่ หลังเลือกตั้งจะได้ไม่เสียใจภายหลังว่าโดนหลอก
อย่างไรก็ตาม ในการจัดงานแบบทุ่มทุนสร้างของเพื่อไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้ทักษิณ จะวีดีโอลิงค์ 2 ชั่วโมง พล่ามยาวตั้งแต่เรื่องจงรักภักดี นโยบายพรรค เรื่องปฏิวัติ สถานการณ์การเมือง แต่ก็เป็นไปตามคาด คือ ทักษิณ ก็กลัวพรรคแตก เลยไม่ยอมประกาศชื่อ ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง ของเพื่อไทย ที่ในงานเดียวกันทักษิณ ก็บอกไว้ชัดว่า ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง จะเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ของเพื่อไทย
**จึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่า ทักษิณ ก็ไม่ได้แน่จริง เพราะหากมั่นใจว่าคุมสภาพทุกอย่างในพรรคได้ ไม่มีใครกล้าหือ ก็ต้องบอกให้ชัดไปเลยว่า จะเอาใครเป็นปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์หนึ่ง เอาใครเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ซื้อเวลา อย่างที่ทำทุกวันนี้
แล้วบอกกันตามตรง หลายคนเห็นรายชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของเพื่อไทย ที่ไปตั้งไว้หน้างานบนโต๊ะให้เซ็นชื่อเข้าประชุม ที่มีร่วม 140 คน เห็นชื่อกันแล้ว มีแต่พวกยี้-ยอดแย่ พรึ่บไปหมด ที่ว่าพอจะดูดีหน่อยอย่าง วีรพงษ์ รามางกูร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ ก็ไม่เห็นมีชื่อให้ฮือฮาเล่น
เอาแค่พวก “หางแดง” ก็พบว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายติดโผเพียบ แต่จะได้อันดับที่เท่าไหร่ อันนี้ต้องรอดูกัน เพราะเผลอๆ พวกแดงอาจต้องแย่งขออยู่เบอร์อันดับต้น ๆ กันเองด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก่อแก้ว พิกุลทอง พายัพ ปั้นเกตุ นพ.เหวง โติจิราการ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย วิสา คัญทัพ วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล กลุ่มแดงเชียงใหม่ 51 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
แถมมีเซอร์ไพรส์ อีกหนึ่งแดง ที่ยังไม่ยอมมามอบตัว นั่นก็คือ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ก็ดันมีชื่อติดโผ ด้วย แบบนี้แสดงให้เห็นว่า อริสมันต์ จ่อเข้ามอบตัวเร็วๆ นี้ แน่นอน ไม่เช่นนั้นเพื่อไทย คงไม่ใส่ชื่อไว้ในโผ แถมเชื่อว่าน่าจะมีอันดับสูงพอสมควรแน่ รับประกันได้
อย่างไรก็ตาม มีคนไปแอบดูรายชื่อที่ตั้งโต๊ะอยู่หน้างาน ก็พบว่า เป็นที่น่าสังเกตุว่า กลับไม่มีชื่อของสองคนสำคัญ ที่เป็นตัวเต็งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือ
** มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แถมที่ไม่ธรรมดากว่านั้นคือ มิ่งขวัญ และ ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ไปปรากฏตัวที่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันเสาร์ ทั้งที่เป็นงานใหญ่ที่สุดของพรรคก่อนการเลือกตั้ง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองเชียร์ของตัวเอง มันไม่ธรรมดาแน่นอน
และตรวจสอบกันแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องความผิดพลาดทางเอกสารแน่นอน เพราะการที่ทักษิณไม่ประกาศรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง ยังพอเข้าใจได้ แต่การที่ไม่มีชื่อของมิ่งขวัญ และยิ่งลักษณ์ พร้อมกันในเอกสาร ลงชื่อ แถมทั้งสองคนก็ไม่เดินทางมาร่วมงานพร้อมกันอีก มันต้องมีอะไรอะไรกันบ้างแล้วในเพื่อไทย
หรือเพราะมันมีสัญญาณแปลกๆ มาจากดูไบ หลังมีคนใกล้ชิดทักษิณ และแกนนำเพื่อไทยบางส่วนไปพบทักษิณที่ดูไบ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
จนมีข่าวว่า สุดท้ายที่แย่งๆ กันระหว่างมิ่งขวัญ กับยิ่งลักษณ์ ที่แม้จะไม่เต็มใจเข้าสู่ถนนการเมืองพรวดเดียวก็ขึ้นเป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อกองเชียร์หนุนหลังก็ ปฏิเสธไม่ได้
ไม่แน่ ทักษิณ อาจใช้บริการคนอื่น เป็นนอมินีแทน ยิ่งลักษณ์ กับมิ่งขวัญ ก็ได้
**หรือว่าส้มจะหล่นใส่ ประชา พรหมนอก ที่เพิ่งบินไปหาทักษิณที่ดูไบ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว !
**“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
ที่ประกาศในงานเปิดตัวผู้สมัครส.ส. และนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันเสาร์ที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนโยบายหลายข้อที่เกี่ยวกับปัญหาพื้นฐาน ต้องยอมรับกันจริงๆ ว่า ประชาธิปัตย์ คิดช้า และคิดไม่ตกผลึก สู้เพื่อไทยและทักษิณไม่ได้
เช่นนโยบายการสร้างรายได้ และเพิ่มโอกาส ที่ประชาธิปัตย์บอกแค่ว่า จะขึ้นเงินค่าจ้างขั้นต่ำให้ประชาชนอีก 25 เปอร์เซนต์ แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยบอกว่าจะทำอย่างไร ที่ทำให้นายจ้างสามารถอยู่ได้ ไม่ต้องเลิกกิจการ หรือไปตัดส่วนสวัสดิการส่วนอื่นของพนักงาน
แต่ทักษิณ-เพื่อไทย บอกเลยว่าจะใช้มาตการด้านภาษี คือ ลดการเก็บภาษีนิติบุคคลจาก 30 % เหลือ 23 % ทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้บริษัทเอกชนลดการจ่ายภาษี จะได้นำเงินที่เสียน้อยลงไปเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงาน คือ ปริญญาตรี สตาร์ทขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนค่าจ้างรายวันขั้นต่ำวันละ 300 บาท
หรือเรื่องการให้ประชาชน-คนรุ่นใหม่ เข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการทำโครงการกองทุนมหาวิทยาลัย แห่งละ 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนให้สินเชื่อแก่นักศึกษาที่กำลังจะจบ แล้วอยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองเพื่อสร้าง “เถ้าแก่ใหม่”
ตลอดจนแนวคิดบัตรเครดิตเกษตรกร ที่จะทำให้เกษตรกร มีศักดิ์ศรีของตัวเองในการไปซื้อสินค้า เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต เช่น ปุ๋ย จะได้ซื้อปุ๋ยในราคาเป็นจริง ไม่ถูกพ่อค้าโก่งราคาบวกดอกเบี้ย รวมถึงการประกาศนโยบายระยะยาวเช่นการป้องกันปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพฯ ด้วยการตามรอยเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ คือใช้วิธีถมทรายบริเวณพื้นที่รอบกรุงเทพฯ คือที่ สมุทรสาครถึงปากน้ำ เพื่อสร้างเมืองใหม่ และทำให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของประเทศ
**สิ่งเหล่านี้พบว่า ทีมยกร่างนโยบายประชาธิปัตย์ ซึ่งประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณ์ จาติกวนิช ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ยังไม่สามารถขับเคลื่อนแนวคิดที่มองประเทศในระยะไกล และแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่า เพื่อไทยได้
ถือว่า ด้านนโยบายโดยทีมเพื่อไทย ทั้ง โอฬาร ไชยประวัติ และ พิชัย นริพทะพันธุ์ ตีกินไปก่อน
อย่างไรก็ตาม คำประกาศนโยบายของทักษิณ ก็จะพบเช่นกันว่า หลายแนวคิดชัดเจนว่า เป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ เพ้อฝัน หวังหลอกหาเสียงกับคนที่ไม่ได้คิดตาม คือมุ่งหวังแต่คะแนนเสียง แต่ไม่ได้คำนึงว่าจะทำได้จริงหรือไม่ และหากทำแล้ว ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแจกแทปเล็ต หรือ ก็คือไอแพด ให้กับเด็กนักเรียนตั้งแต่ ป.1 ทุกคนทั่วประเทศ ซึ่งดูแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขนาดเรียนฟรีทุกวันนี้ก็รู้กันดีอยู่ แต่ละปียังมีเด็กจำนวนมากที่ออกจากระบบการศึกษา เพราะที่บ้านไม่มีปัญญาส่งลูกหลานเรียน แล้วจะมาแจกไอแพด คนละเครื่องได้อย่างไร
หรือการประกาศจะทำรถไฟฟ้าอีก 10 สาย โดยคิดเงินค่าโดยสาร 20 บาทตลอดเส้นทาง อันนี้ยิ่งทำไม่ได้เลยในความเป็นจริง รวมถึงการหาเสียงแบบสิ้นคิด เช่น จะให้เงินอุดหนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นมากขึ้น เช่น ที่ไหนเก็บได้ไม่ถึง 10 ล้าน ก็จะให้เป็น 10 ล้าน หรือไม่ถึง 20 ล้าน ก็ให้ 20 ล้าน
ถามว่า ทั้งหมดทักษิณ จะเอาเงินจากไหน หลายเรื่องเอกชนเป็นคนทำ และบริหารโครงการเช่น เรื่องรถไฟฟ้า รัฐบาลจะไปบังคับให้เก็บเงิน 20 บาทตลอดสายได้อย่างไร เรื่องแบบนี้ ทักษิณ ก็ไม่ได้อธิบายขยายความ เอาแค่ประกาศหาเสียงฉาบฉวย ให้คนฮือฮาเล่น ใครไม่ได้คิดตาม พอได้ยินมาว่าเลือกเพื่อไทยแล้วได้ขึ้นรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ก็เลือกกันเลย แบบนี้ก็หลงกลทักษิณ อีกรอบจนได้
**ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย เช่น สื่อสารมวลชน นักวิชาการ ผู้รู้จริงในเรื่องเชิงนโยบายต่างๆ จะต้องให้ความรู้กับประชาชน ซึ่งไม่ใช่แค่กับเพื่อไทย แต่ต้องการทุกพรรคการเมืองด้วยว่าสิ่งที่นักการเมืองประกาศหาเสียงนั้น มันทำได้จริง หรือหลอกลวงกันแน่ หลังเลือกตั้งจะได้ไม่เสียใจภายหลังว่าโดนหลอก
อย่างไรก็ตาม ในการจัดงานแบบทุ่มทุนสร้างของเพื่อไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้ทักษิณ จะวีดีโอลิงค์ 2 ชั่วโมง พล่ามยาวตั้งแต่เรื่องจงรักภักดี นโยบายพรรค เรื่องปฏิวัติ สถานการณ์การเมือง แต่ก็เป็นไปตามคาด คือ ทักษิณ ก็กลัวพรรคแตก เลยไม่ยอมประกาศชื่อ ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง ของเพื่อไทย ที่ในงานเดียวกันทักษิณ ก็บอกไว้ชัดว่า ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง จะเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ของเพื่อไทย
**จึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่า ทักษิณ ก็ไม่ได้แน่จริง เพราะหากมั่นใจว่าคุมสภาพทุกอย่างในพรรคได้ ไม่มีใครกล้าหือ ก็ต้องบอกให้ชัดไปเลยว่า จะเอาใครเป็นปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์หนึ่ง เอาใครเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ซื้อเวลา อย่างที่ทำทุกวันนี้
แล้วบอกกันตามตรง หลายคนเห็นรายชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของเพื่อไทย ที่ไปตั้งไว้หน้างานบนโต๊ะให้เซ็นชื่อเข้าประชุม ที่มีร่วม 140 คน เห็นชื่อกันแล้ว มีแต่พวกยี้-ยอดแย่ พรึ่บไปหมด ที่ว่าพอจะดูดีหน่อยอย่าง วีรพงษ์ รามางกูร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ ก็ไม่เห็นมีชื่อให้ฮือฮาเล่น
เอาแค่พวก “หางแดง” ก็พบว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายติดโผเพียบ แต่จะได้อันดับที่เท่าไหร่ อันนี้ต้องรอดูกัน เพราะเผลอๆ พวกแดงอาจต้องแย่งขออยู่เบอร์อันดับต้น ๆ กันเองด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก่อแก้ว พิกุลทอง พายัพ ปั้นเกตุ นพ.เหวง โติจิราการ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย วิสา คัญทัพ วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล กลุ่มแดงเชียงใหม่ 51 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
แถมมีเซอร์ไพรส์ อีกหนึ่งแดง ที่ยังไม่ยอมมามอบตัว นั่นก็คือ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ก็ดันมีชื่อติดโผ ด้วย แบบนี้แสดงให้เห็นว่า อริสมันต์ จ่อเข้ามอบตัวเร็วๆ นี้ แน่นอน ไม่เช่นนั้นเพื่อไทย คงไม่ใส่ชื่อไว้ในโผ แถมเชื่อว่าน่าจะมีอันดับสูงพอสมควรแน่ รับประกันได้
อย่างไรก็ตาม มีคนไปแอบดูรายชื่อที่ตั้งโต๊ะอยู่หน้างาน ก็พบว่า เป็นที่น่าสังเกตุว่า กลับไม่มีชื่อของสองคนสำคัญ ที่เป็นตัวเต็งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือ
** มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แถมที่ไม่ธรรมดากว่านั้นคือ มิ่งขวัญ และ ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ไปปรากฏตัวที่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันเสาร์ ทั้งที่เป็นงานใหญ่ที่สุดของพรรคก่อนการเลือกตั้ง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองเชียร์ของตัวเอง มันไม่ธรรมดาแน่นอน
และตรวจสอบกันแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องความผิดพลาดทางเอกสารแน่นอน เพราะการที่ทักษิณไม่ประกาศรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง ยังพอเข้าใจได้ แต่การที่ไม่มีชื่อของมิ่งขวัญ และยิ่งลักษณ์ พร้อมกันในเอกสาร ลงชื่อ แถมทั้งสองคนก็ไม่เดินทางมาร่วมงานพร้อมกันอีก มันต้องมีอะไรอะไรกันบ้างแล้วในเพื่อไทย
หรือเพราะมันมีสัญญาณแปลกๆ มาจากดูไบ หลังมีคนใกล้ชิดทักษิณ และแกนนำเพื่อไทยบางส่วนไปพบทักษิณที่ดูไบ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
จนมีข่าวว่า สุดท้ายที่แย่งๆ กันระหว่างมิ่งขวัญ กับยิ่งลักษณ์ ที่แม้จะไม่เต็มใจเข้าสู่ถนนการเมืองพรวดเดียวก็ขึ้นเป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อกองเชียร์หนุนหลังก็ ปฏิเสธไม่ได้
ไม่แน่ ทักษิณ อาจใช้บริการคนอื่น เป็นนอมินีแทน ยิ่งลักษณ์ กับมิ่งขวัญ ก็ได้
**หรือว่าส้มจะหล่นใส่ ประชา พรหมนอก ที่เพิ่งบินไปหาทักษิณที่ดูไบ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว !