00 ยังคงเส้นคงวาจริงๆ สำหรับ “จิ๋ว” หรือ “ขงเบ๊จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรไม่ว่าเรื่องใหญ่ เรื่องกระจอกงอกง่อย ก็ต้องสร้างความสับสนวุ่นวายได้ทุกเรื่อง ล่าสุดแม้กระทั่งกะอีแค่ลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย หลังจาก“หมดลุ้น” จากตำแหน่ง “หุ่นเชิด” รวมไปถึงไม่ได้รับ“ปัจจัย” บางอย่าง จาก“แม้ว” แล้วได้จังหวะหลังจาก“ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ “ปั่นราคา” ตัวเองด้วยการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงใช้เป็นข้ออ้างในการไขก๊อก
00 แต่อนิจจา ถัดมาไม่ทันข้ามวันเมื่อมีแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลตามมา พิจารณาเนื้อหารวมๆ แล้วมาจากเหตุทนไม่ไหวที่เห็นพรรคเพื่อไทยมีบางคนกระทำมิบังควร หรือถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือจาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั่นแหละ แม้ว่ายิ่งอ่านจะยิ่งวกวน เข้าใจยาก แต่ก็มีคนใกล้ชิดอีกกลุ่มหนึ่งกลับบอกว่าเป็น “แถลงการณ์ปลอม” เสียอีก เรื่องแค่นี้ยังวุ่นวาย และอย่าได้แปลกใจที่คนๆนี้ ลองได้บริหารกิจการอะไรสักอย่างก็มักเกิดเรื่องปั่นป่วนไปทั่ว ส่วนที่บอกว่าเจ้าตัวจะออกมาแถลงภายในสองสามวันนั้น ทางที่ดีควรอยู่เงียบๆ ดีกว่า หรือไม่ก็ไป “โดดแม่น้ำโขงตาย” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย !!
00 ในที่สุดก็เข็นออกมาอีกล็อตใหญ่จนได้สำหรับ “รถหุ้มเกราะล้อยาง” จากยูเครน ตกรุ่น ที่ดันกันมาต่อเนื่องตั้งแต่ยุคพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ “ตบรางวัล” งบประมาณผูกพันให้กองทัพบกอีก 4,318 ล้านบาท เพื่อซื้อมาไว้ในครอบครองอีก 121 คัน ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ ก็ไม่อยากไปเถียงมากมาย เดี๋ยวถูกตอบโต้กลับมาว่าไม่รู้จริง แต่เท่าที่ฟังจากข้อมูลที่เข้ามาถือว่า รถหุ้มเกราะจากยูเครน ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต มีปัญหาในเรื่อง “สายการผลิต” รวมไปถึงเรื่องเครื่องยนต์ที่นำมาใส่กับรถก็เคยมีปัญหา นี่ยังไม่นับเรื่องการอนุมัติใช้ซื้อปืนเล็กยาวอีกนับหมื่นกระบอกงบประมาณอีกกว่าพันล้านบาทตามที่ “เสี่ยอ้วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหมเสนอ
00 นอกจากนี้เหตุผลที่เคยบอกว่าส่วนหนึ่งจะแบ่งไปใช้ในจังหวัดชายแดนใต้ ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าอาจไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่ เพราะเป็นสงครามกองโจร รบนอกแบบ การใช้รถเกราะล้อยางแค่เจอ “ตะปูเรือใบ” ก็น่าจะเดี้ยงแล้ว สรุปความว่าสมรรถนะ และความคุ้มค่าไม่น่าจะเป็นไปตามราคาคุย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนกับซื้อ “เรือเหาะ” พันล้าน มาจอดไว้ดูเล่นนั่นแหละ ส่วนจะคุ้มค่ากับใคร “บิ๊กกองทัพ” คนไหนนั้น ลองไปถามคนชื่อ “ตู่” ดูแล้วกันว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากพี่สู่น้องหรือไม่ แต่ไม่ใช่ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ นะ เดี๋ยวจะผิดตัว
00 อีกไม่เกินสองสัปดาห์ก็จะถึงวันยุบสภา ตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กำหนดเอาไว้ ดังนั้นเวลานี้ สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดก็คือ เร่งอนุมัติสารพัดโครงการ เมื่อนับตารางเวลาแล้วเหลือโอกาสอีกแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งสุดท้ายเท่าที่ฟังดูก็จะเป็นการประชุม ครม.วันที่ 3 พ.ค. ก่อนที่ปิดเกม อ้าวเร่งมือหน่อย นาทีทองเริ่มเปิดแล้ว
00 นี่ก็สมราคาระดับ “โคตรเขี้ยว” ทางการเมือง ที่สั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่ มนตรี พงษ์พานิช มาจนถึง สมศักดิ์ เทพสุทิน จนกระทั่งยึดพรรคกิจสังคมมาได้สำเร็จ ใช่แล้ว.. กำลังพูดถึง สุวิทย์ คุณกิตติ ที่ร่ำๆจะลาออกจากหัวหน้าทีมเจรจามรดกโลก ล่าสุดได้เปลี่ยนใจใหม่หลังปิดห้อง “ต่อรอง” กับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นานเป็นชั่วโมง แต่ข่าววงในกระซิบป้องปากให้ได้ยินว่า งานนี้ สุวิทย์ ได้หลักประกันที่คุ้มค่า อย่างน้อยหลังเลือกตั้งหากยังหนีบ “ส.ส.แสป” กลับเข้ามาได้อย่างน้อย 4-5 ราย ก็เอาไปหนึ่งเก้าอี้เหมือนเดิม นั่นเป็นเงื่อนไขที่ปชป.ได้ตั้งรัฐบาล แต่ถ้าพลิกเป็นเพื่อไทยก็ค่อยมาว่ากันใหม่ สรุปว่างานนี้มีแต่ได้กับได้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งคนที่ “เสียสุนัข” อย่างชัดเจนก็คือ กษิต ภิรมย์ เพราะถูกลดบทบาทจนเรียดดินไปเรียบร้อยแล้ว !!
00 แต่อนิจจา ถัดมาไม่ทันข้ามวันเมื่อมีแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลตามมา พิจารณาเนื้อหารวมๆ แล้วมาจากเหตุทนไม่ไหวที่เห็นพรรคเพื่อไทยมีบางคนกระทำมิบังควร หรือถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือจาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั่นแหละ แม้ว่ายิ่งอ่านจะยิ่งวกวน เข้าใจยาก แต่ก็มีคนใกล้ชิดอีกกลุ่มหนึ่งกลับบอกว่าเป็น “แถลงการณ์ปลอม” เสียอีก เรื่องแค่นี้ยังวุ่นวาย และอย่าได้แปลกใจที่คนๆนี้ ลองได้บริหารกิจการอะไรสักอย่างก็มักเกิดเรื่องปั่นป่วนไปทั่ว ส่วนที่บอกว่าเจ้าตัวจะออกมาแถลงภายในสองสามวันนั้น ทางที่ดีควรอยู่เงียบๆ ดีกว่า หรือไม่ก็ไป “โดดแม่น้ำโขงตาย” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย !!
00 ในที่สุดก็เข็นออกมาอีกล็อตใหญ่จนได้สำหรับ “รถหุ้มเกราะล้อยาง” จากยูเครน ตกรุ่น ที่ดันกันมาต่อเนื่องตั้งแต่ยุคพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ “ตบรางวัล” งบประมาณผูกพันให้กองทัพบกอีก 4,318 ล้านบาท เพื่อซื้อมาไว้ในครอบครองอีก 121 คัน ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ ก็ไม่อยากไปเถียงมากมาย เดี๋ยวถูกตอบโต้กลับมาว่าไม่รู้จริง แต่เท่าที่ฟังจากข้อมูลที่เข้ามาถือว่า รถหุ้มเกราะจากยูเครน ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต มีปัญหาในเรื่อง “สายการผลิต” รวมไปถึงเรื่องเครื่องยนต์ที่นำมาใส่กับรถก็เคยมีปัญหา นี่ยังไม่นับเรื่องการอนุมัติใช้ซื้อปืนเล็กยาวอีกนับหมื่นกระบอกงบประมาณอีกกว่าพันล้านบาทตามที่ “เสี่ยอ้วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหมเสนอ
00 นอกจากนี้เหตุผลที่เคยบอกว่าส่วนหนึ่งจะแบ่งไปใช้ในจังหวัดชายแดนใต้ ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าอาจไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่ เพราะเป็นสงครามกองโจร รบนอกแบบ การใช้รถเกราะล้อยางแค่เจอ “ตะปูเรือใบ” ก็น่าจะเดี้ยงแล้ว สรุปความว่าสมรรถนะ และความคุ้มค่าไม่น่าจะเป็นไปตามราคาคุย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนกับซื้อ “เรือเหาะ” พันล้าน มาจอดไว้ดูเล่นนั่นแหละ ส่วนจะคุ้มค่ากับใคร “บิ๊กกองทัพ” คนไหนนั้น ลองไปถามคนชื่อ “ตู่” ดูแล้วกันว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากพี่สู่น้องหรือไม่ แต่ไม่ใช่ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ นะ เดี๋ยวจะผิดตัว
00 อีกไม่เกินสองสัปดาห์ก็จะถึงวันยุบสภา ตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กำหนดเอาไว้ ดังนั้นเวลานี้ สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดก็คือ เร่งอนุมัติสารพัดโครงการ เมื่อนับตารางเวลาแล้วเหลือโอกาสอีกแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งสุดท้ายเท่าที่ฟังดูก็จะเป็นการประชุม ครม.วันที่ 3 พ.ค. ก่อนที่ปิดเกม อ้าวเร่งมือหน่อย นาทีทองเริ่มเปิดแล้ว
00 นี่ก็สมราคาระดับ “โคตรเขี้ยว” ทางการเมือง ที่สั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่ มนตรี พงษ์พานิช มาจนถึง สมศักดิ์ เทพสุทิน จนกระทั่งยึดพรรคกิจสังคมมาได้สำเร็จ ใช่แล้ว.. กำลังพูดถึง สุวิทย์ คุณกิตติ ที่ร่ำๆจะลาออกจากหัวหน้าทีมเจรจามรดกโลก ล่าสุดได้เปลี่ยนใจใหม่หลังปิดห้อง “ต่อรอง” กับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นานเป็นชั่วโมง แต่ข่าววงในกระซิบป้องปากให้ได้ยินว่า งานนี้ สุวิทย์ ได้หลักประกันที่คุ้มค่า อย่างน้อยหลังเลือกตั้งหากยังหนีบ “ส.ส.แสป” กลับเข้ามาได้อย่างน้อย 4-5 ราย ก็เอาไปหนึ่งเก้าอี้เหมือนเดิม นั่นเป็นเงื่อนไขที่ปชป.ได้ตั้งรัฐบาล แต่ถ้าพลิกเป็นเพื่อไทยก็ค่อยมาว่ากันใหม่ สรุปว่างานนี้มีแต่ได้กับได้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งคนที่ “เสียสุนัข” อย่างชัดเจนก็คือ กษิต ภิรมย์ เพราะถูกลดบทบาทจนเรียดดินไปเรียบร้อยแล้ว !!