xs
xsm
sm
md
lg

“จิ๋ว” ทิ้งเพื่อไทย “นกรู้” และ “ไร้ค่า” !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แม้ว่าจะเอาแน่นอนอะไรไม่ได้กับบทบาทและความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพราะวันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้จะพูดอีกอย่าง ล่าสุดได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และประธานพรรคไปแล้วโดยมีผลไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งที่อีกด้านหนึ่งยังมีความพยายามสร้างข่าวจากภายในพรรคเพื่อไทยทำนอง “ยื้อ” ไม่ยอมเซ็นใบลาออกก็ตาม แต่นาทีนี้ถือว่าไม่มีผลอะไรแล้ว

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ “สาเหตุ” ที่ลาออกมาจากเรื่องอะไรกันแน่ เป็นไปตามเหตุผลว่ามาจากเรื่อง “ทนไม่ได้” กับการที่เห็นคนในพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง “หัวโจก” คนเสื้อแดงออกมาจาบจ้าง ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพอย่างนั้นหรือ ส่วนหนึ่งก็น่าจะใช่ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถามกลับไปว่า คนอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่คว่ำหวอดอยู่กับเรื่องลัทธิ สังคมนิยม หรือแม้แต่ข้อหาในเรื่อง “สภาเปรซิเดียม” ในอดีตย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

ถามว่าที่ผ่านมาคนอย่าง พล.อ.ชวลิต จะไร้เดียงสาจนไม่รู้เลยหรือว่า คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของทุกอย่างทั้งพรรคเพื่อไทย และหัวโจกเสื้อแดง เป็นคนที่มีคำพูดและพฤติกรรมทำลายสถาบันฯทั้งทางตรงและทางอ้อม มานาน และคนอย่างเขาที่อยู่ในเส้นทางความมั่นคง ย่อมจะเข้าใจเรื่องราวได้ดี นอกเสียจาก “แกล้งบื้อ” เพื่อหวังผลอะไรบางอย่างเท่านั้น

นอกจากนี้หากยังจำกันได้ช่วงที่ “กลับลำ” ย้อนกลับเข้ามาอยู่ในสังกัด “ทักษิณ” ในรอบล่าสุดก่อนหน้านี้ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษได้เตือนไว้ก่อนล่วงหน้าจนเป็นเรื่องฮือฮามาแล้วให้ระวังจะกลายเป็น “คนทรยศต่อชาติ” แต่เขาก็ไม่ฟังยังเดินหน้าร่วมหัวจมท้าย ทำตัวเป็น “โซ่ข้อกลาง” เสียอีก

เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและข้อมูลดังกล่าวก็น่าจะเข้าใจได้ดีว่าสาเหตุการลาออกจากพรรคเพื่อไทยครั้งล่าสุดของ พล.อ.ชวลิต ไม่น่าจะเกิดจากความไม่รู้ หรือเพิ่งรู้ว่าภายในพรรคมีการเคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบันเป็นอันขาด ที่ผ่านมาเขาน่ารู้เรื่องและเข้าใจดีมาตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านหลายคนแปลกใจไม่น้อยว่าคนที่เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เคยดื่มน้ำพิพัฒสัตยาถวายความจงรักภักดี เป็นอดีตนายทหารดำรงตำแหน่งสูงสุดทั้งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไม่น่าจะทำตัว “ให้ตกต่ำ” ยอมเป็นเครื่องมือให้กับคนพวกนี้ ทำได้แม้กระทั่งไปขึ้นเวทีคนเสื้อแดงไปตบบ่าตบไหล่ให้กำลัง “วีระ มุสิกพงศ์” อดีตนักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า “นายแน่มาก” มาแล้ว

ดังนั้น ประเด็นที่ “จิ๋ว” หรือ “ขงเบ๊จิ๋ว” หรือ พล.อ.ชวลิต ไม่รู้ว่าคนในพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตรและ หัวโจกเสื้อแดงจาบจ้วงสถาบัน และเพิ่งมารู้เอาตอนที่ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีจาบจ้วงเมื่อวันที่ 10 เมษายนก็น่าจะตัดไปได้

สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือเมื่อรู้อยู่เต็มอกแล้วกระโดดเข้าไปร่วมวงทำไม เพราะเท่าที่มีเสียงระแคะระคายลอยมาตามลมอยู่ตลอดเวลาว่าที่ผ่านมา เขาได้จาก ทักษิณ “จนคุ้ม” ส่วนจะเป็นปัจจัยประเภทไหนน่าจะพอเดาออก ขณะเดียวกัน ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวในช่วงระยะเวลาที่หวนกลับเข้ามาครั้งก่อน เชื่อว่าหลายคนพอจะ “อ่านเกม” ออกไม่ยากว่าเขายังลุ้นนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือต้องเป็นแคดิเดตนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งคราวหน้า เพราะในเมื่อจะหวนกลับมาทั้งทีก็ต้องคุ้มค่าแบบนี้

อย่างไรก็ดี เวลาผ่านไปนานนับปีทุกอย่างยังนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ส่อให้เห็นว่า ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยจะ “เคาะ” ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสียที ตรงกันข้ามมีแต่ข่าวดันก้น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ มาแทน หรือแม้กระทั่ง “ตัวจริง” คนในครอบครัว อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นน้องสาวเข้ามาควบคุมกิจการอย่างเบ็ดเสร็จ

เมื่อรูปการณ์ออกมาแบบนี้ ทำให้คนอย่าง พล.อ.ชวลิต ที่แม้ว่าบางเรื่องอาจจะเลอะเลือน แต่สำหรับเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองรับรองว่าเขาไม่มีทางเลอะเลือนเป็นอันขาด คงได้ข้อสรุปแล้วว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์เหมือนคนไร่ค่าประมาณนั้นความหวังที่จะรับช่วงเป็น “นายกฯ หุ่นเชิด” คนต่อไปคงมองไม่เห็น ขืนอยู่ต่อไปก็เสียเวลาเปล่า และทันใดนั้นเมื่อได้ยินเสียงของ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีเสื้อแดงโจมตีสถาบันฯก็ได้จังหวะ “กระโดดหนี” ทันที อาการความรู้สึกน่าจะออกมาประมาณนี้มากกว่า

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ทั้งเรื่องการจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของหัวโจกเสื้อแดง และการโดดหนีออกจากพรรคเพื่อไทยของ พล.อ.ชวลิต ในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระเทือนในวงกว้างไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับ “ภายนอก” แม้จะมั่นใจว่าจะมีเสียงหนุนมั่นคงเป็นกอบเป็นกำอยู่แล้วก็ตาม เพราะแทนที่จะชนะแบบถล่มทลายเหมือนก่อน เมื่อเจอแบบนี้มันก็ถูกเบรกลดระดับลงมา มิหนำซ้ำยังอาจถูกยุบพรรคเสียอีก

นอกจากนี้ยังถูกพรรคประชาธิปัตย์ใช้เรื่องนี้ “สร้างกระแส” ตามถล่มซ้ำเข้าไปอีก มันก็แทบโงหัวไม่ขึ้น

ดังนั้น ถ้าให้สรุปกรณีการลาออกพ้นจากพรรคเพื่อไทยของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ครั้งนี้ เป็นการฉวยจังหวะเพื่อกระโดดหนี เมื่อเห็นว่าตัวเองขืนอยู่ไปก็ไม่มีความหมาย เพราะถูกมองอย่างไร้ค่า ความหวังพังครืนไปตั้งนานแล้ว!!

กำลังโหลดความคิดเห็น