xs
xsm
sm
md
lg

ส่งออกมี.ค.ทำนิวไฮอีก ทะลุ2.1หมื่นล้านUS$ครั้งแรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ส่งออกไทยทำนิวไฮอีก สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 2 เดือนติดต่อกัน ล่าสุดเดือนมี.ค.ยอดทะลุ 2.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โต 30.9% ด้านนำเข้าทุบสถิติเช่นเดียวกันพุ่ง 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เผยรับอานิสงค์เศรษฐกิจโลกฟื้น เปิดเสรี FTA ช่วยเพิ่มยอดค้าขาย คาดปีนี้ยอดรวมโต 12% ทำได้แน่นอน

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าเดือนมี.ค.2554 มีมูลค่า 21,259 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.9% เป็นการส่งออกมูลค่าเกิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก และทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ขณะที่มูลค่าเป็นเงินบาท 646,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.79% ส่วนการนำเข้า 19,472.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.4%สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกันกัน หรือคิดเป็นเงินบาท 599,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 1,786.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 46,907.9 ล้านบาท

ส่วนการส่งออกรวมไตรมาสแรกปี 2554 (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่า 56,874 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.26% หรือมีมูลค่าเป็นเงินบาท 1.72 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.97% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 54,177 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.96% หรือคิดเป็นเงินบาท 1.65 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.77% โดยเกินดุลการค้า 2,697.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 61,760 ล้านบาท

“ยอดส่งออกในเดือนมี.ค. ทำลายสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง หลังจากเคยทำสถิติส่งออกสูงสุดไปแล้วเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และประเทศในเอเซีย จีน อินเดีย เอเซียตะวันออกและอาเซียน ประกอบกับสินค้าเกษตรและอาหารมีราคาสูงขึ้นต่อเนื่องและยังได้รับอานิสงค์จากการเปิดเอฟทีเอกับหลายประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการมีโอกาส ขยายการส่งออกเพิ่มทั้งมูลค่าและปริมาณ”นางพรทิวากล่าว

นางพรทิวากล่าวว่า การส่งออกเดือนมี.ค.มีการขยายตัวในทุกกลุ่ม โดยกลุ่มสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่ม 43.6% ได้แก่ ข้าว ปริมาณ 1.18 ล้านตัน เพิ่ม 38.9% ยางพารา 117.7% มันสำปะหลัง 22% อาหารทะเลแช่แข็ง 16.5% กุ้งแช่แข็งและแปรรูป 19.7% ขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 26.7% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่ม 33% ยานยนต์ และส่วนประกอบ 22.9% ผลิตภัณฑ์ยาง 31.1% สิ่งพิมพ์ 99.8% อัญมณี 89% เม็ดพลาสติก 56.8%สิ่งทอ 28.6%

ด้านตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นทุกตลาดเช่นเดียวกัน โดยกลุ่มตลาดหลักเพิ่มขึ้น 25.4% ได้แก่ ญี่ปุ่น 23.6% สหรัฐฯ 22.8% สหภาพยุโรป 30% กลุ่มตลาดศักยภาพสูงเพิ่ม 33.9% ได้แก่ อาเซียน 26.1% จีน 30.6% อินเดีย 35.9% ฮ่องกง 52.8% เกาหลีใต้ 61.4% ไต้หวัน 51.6% กลุ่มตลาดศักยภาพระดับรองเพิ่ม 19.8% ได้แก่ รัสเซียและซีไอเอส 120.9% ลาตินอเมริกา 16% ตะวันออกกลาง 29.3% ทวีปออสเตรเลีย 13.1% แอฟริกา 5.3% แคนาดา 34.5%

สำหรับการนำเข้าเดือนมี.ค.ที่เพิ่มขึ้น เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกหมวด โดยสินค้าวัตถุดิบ กึ่งสำเร็จรูปเพิ่ม 17.5% สินค้าทุนเพิ่ม 34.6% สินค้าเชื้อเพลิงเพิ่ม 46% สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่ม 28.9% สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งเพิ่ม 36.4% และอาวุธ ยุทธปัจจัยเพิ่ม 253.6% ซึ่งถือเป็นการสอดคล้องกับการเติบโตของการส่งออก และการบริโภคในประเทศรวมถึงการลงทุนของรัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง

นางพรทิวากล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกจากนี้ไป คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี และจะเป็นไปตามเป้าหมายใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 12% แน่นอน โดยมีปัจจัยบวกยังมาจาก เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงประเทศไทยมีฐานการผลิตสินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการ ทำให้ได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก เช่น ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มเป็น 105-120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และยังอาจเพิ่มขึ้นอีกจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น การขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรม และความผันผวนของค่าเงินบาท วิกฤติโรงงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น