ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยผันผวนตลอดวัน แต่แรงซื้อในกลุ่มพลังงานและแบงก์ยังหนุนดัชนีปิดบวก5.21 จุด สถาบันเทขาย1.3 พันล้านบาท ต่างชาติเข้าเก็บ 151 ล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อมากสุด 757 ล้านบาท “ก้องเกียรติ” ประเมินเอสแอนด์พีลดเครดิตสหรัฐไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย เหตุเงินจะไหลจากตลาดพันธบัตรลุงแซมไปประเทศอื่น ขณะที่ตลาดไทยยังไม่เอื้อนักลงทุน โบรกฯประเมินแนวต้านสำคัญ 1,100 จุดมีโอกาส แต่เมื่อถึงอาจปรับตัวลง ส่วนทองวิ่งทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง ขยับเพิ่มอีก 100 บาท เป็น 21,250 บาท
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19เม.ย.) ปิดที่ระดับ 1,095.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.21 จุด หรือ 0.48% มูลค่าการซื้อขาย 37,294 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อหุ้นพลังงานกลับเข้ามาในการซื้อขายช่วงบ่าย ประกอบกับ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สลบน้อยลงและยุโรปรีบาวน์ขึ้นมา ทำให้ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวานนี้ ดัชนีเคลื่อนกรอบแคบสลับบวกและลบ โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,096.73 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,083.73 จุด
โดยการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า มีเพียงกลุ่มสถาบันที่ขายสุทธิ 1,378.29 ล้านบาท ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 151.80 ล้านบาท , 757.40 ล้านบาท และ 469.08ล้านบาท ตามลำดับ
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 224 หลักทรัพย์ ลดลง 175 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ SCCมูลค่าการซื้อขาย 2,490.51 ล้านบาท ปิดที่ 380.00 บาท เพิ่มขึ้น 11.00 บาท CPF มูลค่าการซื้อขาย 2,398.57 ล้านบาท ปิดที่ 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท PTTมูลค่าการซื้อขาย 2,195.61 ล้านบาท ปิดที่ 377.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,729.38 ล้านบาท ปิดที่ 772.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และTHAI มูลค่าการซื้อขาย 1,576.55 ล้านบาท ปิดที่ 39.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการที่สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ หรือเอสแอนด์พี มีการปรับมุมมองเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นลบจากเดิมที่มองว่ามีเสถียรภาพนั้นส่วนตัวมองว่า มีแนวโน้มที่ เอสแอนด์พี จะมีการปรับลดอันดับเครดิตตราสารทางการเงินของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรของสหรัฐโดยหันมาเพิ่มการลงทุนในตลาดพันธบัตรที่ประเทศอื่นแทน โดยจะไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากเรื่องกังดังกล่าว เพราะ นักลงทุนในตลาดพันธบัตรนั้นเป็นนักลงทุนคนละกลุ่มกับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทย แต่จากการที่ประเทศไทยมีจำนวนพันธบัตรที่ไม่มากนั้น จึงไม่เอื้อให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในบอนด์ของไทย ซึ่งในช่วงต้นปีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อบอนด์ไทยจำนวน 2 แสนล้านบาทแล้ว
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงบ่าย วานนี้outperform เพื่อนบ้าน โดยฟื้นตัวขึ้นมาค่อนข้างโดดเด่น เพราะมีแรงซื้อหุ้นพลังงานกลับเข้ามาและธนาคารบางตัวจากช่วงเช้าที่ยังเห็นแรงขายอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังมองไม่เห็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ให้จับตาดูเรื่องกระแส fund flow ให้ต่อเนื่อง
"ช่วงบ่ายอาจเป็นเพราะดาวโจนส์ฟิวเจอร์สลบน้อยลงด้วยและยุโรปมีการรีบาวน์ขึ้นมา แต่ตลาดภูมิภาคบางส่วนปิดไปก่อน บางส่วนที่ยังไม่ปิดก็ยังคงอยู่ในแดนลบอยู่ ถือว่าเราค่อนข้างที่จะ outperform ด้วย หุ้นพลังงานขึ้นมาช่วยหนุนการฟื้นตัว"
สำหรับทิศทางวันนี้(20เม.ย.)ปัจจัยภายในประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ดัชนีปรับขึ้นมาค่อนข้างใกล้ 1,100 จุด เป็นระดับจิตวิทยาหลังจากนั้น อาจมีอ่อนตัวลงต้องระวังความผันผวนที่จะเกิดจากความไม่แน่นอนของปัจจัยข้างนอก ซึ่งช่วงนี้ต้องจับตาข่าวของสหรัฐ จีนและยุโรป ปัจจัยภายในยังเป็นเรื่องการเมือง ถ้าเทียบปัจจัยภายนอกข้างนอกอาจมีความไม่แน่นอนสูงกว่าเพราะภายในคาดหวังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นกลางปีนี้
ขณะเดียวกัน ราคาขายทองคำวานนี้ ทองคำแท่งขยับเพิ่มขึ้นอีก 100 บาท มาอยู่ที่ 21,250 บาท และราคารับซื้อคืน 21,150 บาท เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ต่อเนื่องจากวันที่ 18เม.ย.ที่ผ่านมา
ด้าน นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GBX กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนทองคำในสัปดาห์นี้ว่า นักลงทุนระยะสั้น 1-2 วัน แนะนำให้รอซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในระดับราคา 1,470-1,475 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 22,900-22,950 บาท/บาททอง โดยใช้ระดับราคา 1,470 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 22,900 บาท/บาททองเป็นจุดตัดขาดทุน ส่วนนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ยังไม่แนะนำให้เข้าสะสมทองคำในระยะนี้ เนื่องจากราคามีความผันผวนในระดับสูงและปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ทั้งนี้ คาดการณ์กรอบการลงทุนที่ 1,460-1,510 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,800-21,500 บาท/บาททอง
โดยคาดว่าราคาทองคำโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อทดสอบกรอบบนของ Parallel Uptrend Channel แถวบริเวณ 1,500-1,515 ดอลลาร์/ออนซ์ ก่อนจะอ่อนตัวลงอีกครั้งเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของระดับราคาแนวรับที่ 1,440-1,450 ดอลลาร์/ออนซ์ในลำดับถัดไป ซึ่งการปรับตัวผันผวนยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยเหตุความไม่สงบของประเทศแถบตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงจนหนุนให้ราคาน้ำมันดิบกลับมาทะยานขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง (แต่เป้าราคาน้ำมันดิบ NYMEX ยังถูกจำกัดที่ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล)
ขณะที่จิตวิทยาการลงทุนกลับมาเป็นบวกอย่างเต็มตัว หลังกองทุน SPDR Gold Trust พลิกกลับมาซื้อทองคำอย่างหนักในวันศุกร์สัปดาห์ก่อนถึง 18.20 ตันมาอยู่ที่ 1,231.16 ตัน นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯกลับมาปรับตัวลดลงแรง หลังเฟดยืนยันที่จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยวิกฤติหนี้สินในยุโรปที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังมูดีส์ออกมาปรับลดอันดับเครดิตของไอร์แลนด์เหลือ Baa3 ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายก่อนเข้าสู่ Non-Investment grade ขณะเดียวกัน สหรัฐฯจะเปิดเผยตัวเลขภาคอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในสัปดาห์นี้ โดยหากยังคงแนวโน้มไม่สดใสเหมือนเช่นการเปิดเผยข้อมูลครั้งก่อน อาจฉุดให้ Dollar Index ร่วงลงและหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19เม.ย.) ปิดที่ระดับ 1,095.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.21 จุด หรือ 0.48% มูลค่าการซื้อขาย 37,294 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อหุ้นพลังงานกลับเข้ามาในการซื้อขายช่วงบ่าย ประกอบกับ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สลบน้อยลงและยุโรปรีบาวน์ขึ้นมา ทำให้ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวานนี้ ดัชนีเคลื่อนกรอบแคบสลับบวกและลบ โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,096.73 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,083.73 จุด
โดยการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า มีเพียงกลุ่มสถาบันที่ขายสุทธิ 1,378.29 ล้านบาท ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 151.80 ล้านบาท , 757.40 ล้านบาท และ 469.08ล้านบาท ตามลำดับ
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 224 หลักทรัพย์ ลดลง 175 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ SCCมูลค่าการซื้อขาย 2,490.51 ล้านบาท ปิดที่ 380.00 บาท เพิ่มขึ้น 11.00 บาท CPF มูลค่าการซื้อขาย 2,398.57 ล้านบาท ปิดที่ 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท PTTมูลค่าการซื้อขาย 2,195.61 ล้านบาท ปิดที่ 377.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,729.38 ล้านบาท ปิดที่ 772.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และTHAI มูลค่าการซื้อขาย 1,576.55 ล้านบาท ปิดที่ 39.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการที่สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ หรือเอสแอนด์พี มีการปรับมุมมองเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นลบจากเดิมที่มองว่ามีเสถียรภาพนั้นส่วนตัวมองว่า มีแนวโน้มที่ เอสแอนด์พี จะมีการปรับลดอันดับเครดิตตราสารทางการเงินของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรของสหรัฐโดยหันมาเพิ่มการลงทุนในตลาดพันธบัตรที่ประเทศอื่นแทน โดยจะไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากเรื่องกังดังกล่าว เพราะ นักลงทุนในตลาดพันธบัตรนั้นเป็นนักลงทุนคนละกลุ่มกับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทย แต่จากการที่ประเทศไทยมีจำนวนพันธบัตรที่ไม่มากนั้น จึงไม่เอื้อให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในบอนด์ของไทย ซึ่งในช่วงต้นปีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อบอนด์ไทยจำนวน 2 แสนล้านบาทแล้ว
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงบ่าย วานนี้outperform เพื่อนบ้าน โดยฟื้นตัวขึ้นมาค่อนข้างโดดเด่น เพราะมีแรงซื้อหุ้นพลังงานกลับเข้ามาและธนาคารบางตัวจากช่วงเช้าที่ยังเห็นแรงขายอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังมองไม่เห็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ให้จับตาดูเรื่องกระแส fund flow ให้ต่อเนื่อง
"ช่วงบ่ายอาจเป็นเพราะดาวโจนส์ฟิวเจอร์สลบน้อยลงด้วยและยุโรปมีการรีบาวน์ขึ้นมา แต่ตลาดภูมิภาคบางส่วนปิดไปก่อน บางส่วนที่ยังไม่ปิดก็ยังคงอยู่ในแดนลบอยู่ ถือว่าเราค่อนข้างที่จะ outperform ด้วย หุ้นพลังงานขึ้นมาช่วยหนุนการฟื้นตัว"
สำหรับทิศทางวันนี้(20เม.ย.)ปัจจัยภายในประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ดัชนีปรับขึ้นมาค่อนข้างใกล้ 1,100 จุด เป็นระดับจิตวิทยาหลังจากนั้น อาจมีอ่อนตัวลงต้องระวังความผันผวนที่จะเกิดจากความไม่แน่นอนของปัจจัยข้างนอก ซึ่งช่วงนี้ต้องจับตาข่าวของสหรัฐ จีนและยุโรป ปัจจัยภายในยังเป็นเรื่องการเมือง ถ้าเทียบปัจจัยภายนอกข้างนอกอาจมีความไม่แน่นอนสูงกว่าเพราะภายในคาดหวังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นกลางปีนี้
ขณะเดียวกัน ราคาขายทองคำวานนี้ ทองคำแท่งขยับเพิ่มขึ้นอีก 100 บาท มาอยู่ที่ 21,250 บาท และราคารับซื้อคืน 21,150 บาท เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ต่อเนื่องจากวันที่ 18เม.ย.ที่ผ่านมา
ด้าน นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GBX กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนทองคำในสัปดาห์นี้ว่า นักลงทุนระยะสั้น 1-2 วัน แนะนำให้รอซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในระดับราคา 1,470-1,475 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 22,900-22,950 บาท/บาททอง โดยใช้ระดับราคา 1,470 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 22,900 บาท/บาททองเป็นจุดตัดขาดทุน ส่วนนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ยังไม่แนะนำให้เข้าสะสมทองคำในระยะนี้ เนื่องจากราคามีความผันผวนในระดับสูงและปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ทั้งนี้ คาดการณ์กรอบการลงทุนที่ 1,460-1,510 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,800-21,500 บาท/บาททอง
โดยคาดว่าราคาทองคำโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อทดสอบกรอบบนของ Parallel Uptrend Channel แถวบริเวณ 1,500-1,515 ดอลลาร์/ออนซ์ ก่อนจะอ่อนตัวลงอีกครั้งเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของระดับราคาแนวรับที่ 1,440-1,450 ดอลลาร์/ออนซ์ในลำดับถัดไป ซึ่งการปรับตัวผันผวนยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยเหตุความไม่สงบของประเทศแถบตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงจนหนุนให้ราคาน้ำมันดิบกลับมาทะยานขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง (แต่เป้าราคาน้ำมันดิบ NYMEX ยังถูกจำกัดที่ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล)
ขณะที่จิตวิทยาการลงทุนกลับมาเป็นบวกอย่างเต็มตัว หลังกองทุน SPDR Gold Trust พลิกกลับมาซื้อทองคำอย่างหนักในวันศุกร์สัปดาห์ก่อนถึง 18.20 ตันมาอยู่ที่ 1,231.16 ตัน นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯกลับมาปรับตัวลดลงแรง หลังเฟดยืนยันที่จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยวิกฤติหนี้สินในยุโรปที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังมูดีส์ออกมาปรับลดอันดับเครดิตของไอร์แลนด์เหลือ Baa3 ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายก่อนเข้าสู่ Non-Investment grade ขณะเดียวกัน สหรัฐฯจะเปิดเผยตัวเลขภาคอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในสัปดาห์นี้ โดยหากยังคงแนวโน้มไม่สดใสเหมือนเช่นการเปิดเผยข้อมูลครั้งก่อน อาจฉุดให้ Dollar Index ร่วงลงและหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้