ท่ามกลางการประกาศใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. มีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของพล.อ.ประวิตร สวงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ในราวเดือนเมษายน 2552 กำลังทหารของกองทัพ ยืนจังก้า พร้อมอาวุธเต็มพิกัด รักษาการณ์ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะตามสี่แยกที่มีสถานที่ราชการสำคัญๆ หนึ่งในนั้นคือสี่แยกบางขุนพรหม ที่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ เพราะเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากกองบัญชาการกองทัพบก รวมทั้งบ้านพักสี่เสาเทเวศร์มากนัก
เช้าตรู่ วันที่ 17 เม.ย.2552 เวลาประมาณ 05.45 น. ปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐถูกกำหนดขึ้นที่บริเวณสี่แยกดังกล่าว ขณะที่รถโตโยต้า เวลไฟร์ สีดำ ทะเบียน วล 89 กทม. ขับผ่านสี่แยกบางขุนพรหมไปได้ราว 50 เมตร รถกระบะ 2 คัน เร่งเครื่องแซงรถโตโยต้าขึ้นไปข้างหน้า คนร้ายที่นอนราบอยู่ท้ายกระบะ เงยตัวลุกขึ้นมาพร้อมอาวุธปืนสงครามในมือ ในท่านั่งยิง คล้ายคนที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี โดยปากกระบอกปืนอย่างน้อย 2-3 กระบอก พุ่งตรงไปที่รถโตโยต้า เวลไฟร์ แล้วเสียงกึกก้องกัมปนาทของอารุธร้ายก็ดังคำรามขึ้นถี่ยิบ จนกล่องรับเสียงของผู้คนที่อยู่รอบบริเวณนั้นราวกับจะดับลง
แน่นอน เป้าสังหาร อยู่ภายในรถโตโยต้า เวลไฟร์คันนั้นนั่นเอง!
หลังปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐจบลงเพียงไม่กี่วินาที ปลอกกระสุนอาวุธปืนสงครามอาก้าจำนวน 64 นัด กระสุนปืนเอสเค 17 นัด ปลอกกระสุนเอ็ม 16 อีกจำนวน 3 นัด ตกเกลื่อนถนน รวมทั้งกระสุนปืนเอ็ม 79 ที่ถูกยิงพลาด ไปตกบนรถประจำทางสาย 30 อีก 1 นัด โชคดีที่ระเบิดลูกนั้นไม่ทำงาน!
ทุกอย่างในบริเวณนั้นเงียบสงัดลงชั่วครู่ หลังจากที่รถกระบะคนร้ายเร่งเครื่องยนต์ไปตามถนนสามเสน มุ่งหน้าไปทางสี่แยกบางลำภูแล้วเงียบหายไป โดยยังไม่มีใครรู้ว่า คนในรถเป็นเช่นใด
เพียงเสี้ยวอึดใจหลังจากนั้น ปรากฏชายร่างท้วม สูงใหญ่ สวมแว่นตา สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาว ทว่ากลับแดงฉานไปด้วยสีเลือด เปิดประตูรถเดินลงมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ ว่ากันว่า เขาโทรศัพท์กลับมายังออฟฟิตของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ด้วยประโยคเพียงสั้นๆว่า "พี่ถูกยิง"
ถูกต้อง! ชายคนนั้น เป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก"สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการและสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี อีกทั้งยังสวมหมวก"แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย" ที่ร่วมกันโค่นล้ม"ระบอบทักษิณ" จนพังราบ
"สนธิ ลิ้มทองกุล" ถูกยิงถล่มจนกระสุนฝั่งลึกในขมับด้านขวาครึ่งซม. รวม 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวา และบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งแพทย์นำเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่ากะโหลกศีรษะนำคมกระสุนที่ฝังในออกจนปลอดภัย และถูกย้ายไปพักฟื้นยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่ออีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังพบว่า นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถ ถูกยิงอาการสาหัส คมกระสุนเจาะเข้าทรวงอกด้านขวาและต้นแขนขวาและศีรษะ ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลมิชชั่นได้รักษาด้วยการผ่าตัดสมอง ทรวงอก และกระดูกต้นแขนขวาโดยแพทย์ได้ผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด คือ ที่บริเวณสมอง บริเวณท้ายทอย เนื้อสมองบางส่วนได้รับความเสียหาย ส่วนนายวายุพักตร์ มัตทะสิน ผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย
เมื่อผู้บาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบบาลหมดแล้ว ในที่เกิดเหตุ คราคร่ำไปด้วยนายตำรวจและทัพสื่อมวลชน สถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุ ต่างนำเสนอข่าวทั้งจากที่เกิดเหตุ และที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลกันตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง ทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวันนั้น ไม่พ้นคดีลอบสังหาร"สนธิ ลิ้มทองกุล"ไปได้ บ้างก็ว่า เป็นฝีมือของฝั่งตรงข้าม บ้างก็ว่า ผู้มีอำนาจสั่งเด็ดหัว หรือแม้กระทั่ง บ้างก็ว่า "สนธิ ลิ้มทองกุล" ลงทุนจัดฉากเองก็มี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ส่งพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาลโดยตรงมาทำหน้าที่ดูแลคดีนี้ และเมื่อพล.ต.อ.จงรัก เรียกเจ้าหน้าที่ประชุมสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้ายที่สน.ชนะสงครามแล้ว ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ยังไม่ตัดประเด็นเรื่องส่วนตัว และชู้สาวทิ้ง” สร้างความกังขาและระแวงนายพลหน้าขาวคนนี้ ว่าเขาเข้ามารับหน้าที่ตัดตอนคดีหรือไม่? เพราะเขาถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยเฉพาะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เหยื่อทีมล่าสังหารในครั้งนี้อย่างชัดเจน ทว่าในวันรุ่งขึ้น พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมีคำสั่งแบ่งงานรับผิดชอบให้กับรองผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยพล.ต.อ.จงรัก ไม่สามารถเข้ามาควบคุมดูแลและสั่งการในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ได้ ซึ่งผู้ที่ถูกมอบหมายให้เข้ามาบผิดชอบคดีนี้แทนโดยตรงและโดยเฉพาะคือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.อีกผู้หนึ่ง
เมื่อชื่อพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ปรากฏออกสู่สาธารณชน ความหวังของผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยในตัว"สนธิ ลิ้มทองกุล" เริ่มเจิดจรัสขึ้น ด้วยฉายา"นายพลไม้บรรทัด"ของนายตำรวจผู้นี้ แม้แต่ตัว"สนธิ ลิ้มทองกุล"เอง ในภายหลังจากที่รักษาตัวหายดีแล้ว เมื่อพล.ต.อ.ธานีมาพบ ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า นายพลไม้บรรทัดผู้นี้ จะสามารถช่วยคลี่คลายคดีได้อย่างตรงไปตรงมา
ทว่า....เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แม้เมื่อพล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีอย่างเต็มตัว เรื่องนี้ ยังคงมี"ปริศนา"ที่ต้องติดตามกันในตอนต่อไป
เช้าตรู่ วันที่ 17 เม.ย.2552 เวลาประมาณ 05.45 น. ปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐถูกกำหนดขึ้นที่บริเวณสี่แยกดังกล่าว ขณะที่รถโตโยต้า เวลไฟร์ สีดำ ทะเบียน วล 89 กทม. ขับผ่านสี่แยกบางขุนพรหมไปได้ราว 50 เมตร รถกระบะ 2 คัน เร่งเครื่องแซงรถโตโยต้าขึ้นไปข้างหน้า คนร้ายที่นอนราบอยู่ท้ายกระบะ เงยตัวลุกขึ้นมาพร้อมอาวุธปืนสงครามในมือ ในท่านั่งยิง คล้ายคนที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี โดยปากกระบอกปืนอย่างน้อย 2-3 กระบอก พุ่งตรงไปที่รถโตโยต้า เวลไฟร์ แล้วเสียงกึกก้องกัมปนาทของอารุธร้ายก็ดังคำรามขึ้นถี่ยิบ จนกล่องรับเสียงของผู้คนที่อยู่รอบบริเวณนั้นราวกับจะดับลง
แน่นอน เป้าสังหาร อยู่ภายในรถโตโยต้า เวลไฟร์คันนั้นนั่นเอง!
หลังปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐจบลงเพียงไม่กี่วินาที ปลอกกระสุนอาวุธปืนสงครามอาก้าจำนวน 64 นัด กระสุนปืนเอสเค 17 นัด ปลอกกระสุนเอ็ม 16 อีกจำนวน 3 นัด ตกเกลื่อนถนน รวมทั้งกระสุนปืนเอ็ม 79 ที่ถูกยิงพลาด ไปตกบนรถประจำทางสาย 30 อีก 1 นัด โชคดีที่ระเบิดลูกนั้นไม่ทำงาน!
ทุกอย่างในบริเวณนั้นเงียบสงัดลงชั่วครู่ หลังจากที่รถกระบะคนร้ายเร่งเครื่องยนต์ไปตามถนนสามเสน มุ่งหน้าไปทางสี่แยกบางลำภูแล้วเงียบหายไป โดยยังไม่มีใครรู้ว่า คนในรถเป็นเช่นใด
เพียงเสี้ยวอึดใจหลังจากนั้น ปรากฏชายร่างท้วม สูงใหญ่ สวมแว่นตา สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาว ทว่ากลับแดงฉานไปด้วยสีเลือด เปิดประตูรถเดินลงมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ ว่ากันว่า เขาโทรศัพท์กลับมายังออฟฟิตของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ด้วยประโยคเพียงสั้นๆว่า "พี่ถูกยิง"
ถูกต้อง! ชายคนนั้น เป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก"สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการและสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี อีกทั้งยังสวมหมวก"แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย" ที่ร่วมกันโค่นล้ม"ระบอบทักษิณ" จนพังราบ
"สนธิ ลิ้มทองกุล" ถูกยิงถล่มจนกระสุนฝั่งลึกในขมับด้านขวาครึ่งซม. รวม 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวา และบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งแพทย์นำเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่ากะโหลกศีรษะนำคมกระสุนที่ฝังในออกจนปลอดภัย และถูกย้ายไปพักฟื้นยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่ออีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังพบว่า นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถ ถูกยิงอาการสาหัส คมกระสุนเจาะเข้าทรวงอกด้านขวาและต้นแขนขวาและศีรษะ ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลมิชชั่นได้รักษาด้วยการผ่าตัดสมอง ทรวงอก และกระดูกต้นแขนขวาโดยแพทย์ได้ผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด คือ ที่บริเวณสมอง บริเวณท้ายทอย เนื้อสมองบางส่วนได้รับความเสียหาย ส่วนนายวายุพักตร์ มัตทะสิน ผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย
เมื่อผู้บาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบบาลหมดแล้ว ในที่เกิดเหตุ คราคร่ำไปด้วยนายตำรวจและทัพสื่อมวลชน สถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุ ต่างนำเสนอข่าวทั้งจากที่เกิดเหตุ และที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลกันตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง ทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวันนั้น ไม่พ้นคดีลอบสังหาร"สนธิ ลิ้มทองกุล"ไปได้ บ้างก็ว่า เป็นฝีมือของฝั่งตรงข้าม บ้างก็ว่า ผู้มีอำนาจสั่งเด็ดหัว หรือแม้กระทั่ง บ้างก็ว่า "สนธิ ลิ้มทองกุล" ลงทุนจัดฉากเองก็มี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ส่งพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาลโดยตรงมาทำหน้าที่ดูแลคดีนี้ และเมื่อพล.ต.อ.จงรัก เรียกเจ้าหน้าที่ประชุมสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้ายที่สน.ชนะสงครามแล้ว ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ยังไม่ตัดประเด็นเรื่องส่วนตัว และชู้สาวทิ้ง” สร้างความกังขาและระแวงนายพลหน้าขาวคนนี้ ว่าเขาเข้ามารับหน้าที่ตัดตอนคดีหรือไม่? เพราะเขาถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยเฉพาะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เหยื่อทีมล่าสังหารในครั้งนี้อย่างชัดเจน ทว่าในวันรุ่งขึ้น พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมีคำสั่งแบ่งงานรับผิดชอบให้กับรองผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยพล.ต.อ.จงรัก ไม่สามารถเข้ามาควบคุมดูแลและสั่งการในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ได้ ซึ่งผู้ที่ถูกมอบหมายให้เข้ามาบผิดชอบคดีนี้แทนโดยตรงและโดยเฉพาะคือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.อีกผู้หนึ่ง
เมื่อชื่อพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ปรากฏออกสู่สาธารณชน ความหวังของผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยในตัว"สนธิ ลิ้มทองกุล" เริ่มเจิดจรัสขึ้น ด้วยฉายา"นายพลไม้บรรทัด"ของนายตำรวจผู้นี้ แม้แต่ตัว"สนธิ ลิ้มทองกุล"เอง ในภายหลังจากที่รักษาตัวหายดีแล้ว เมื่อพล.ต.อ.ธานีมาพบ ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า นายพลไม้บรรทัดผู้นี้ จะสามารถช่วยคลี่คลายคดีได้อย่างตรงไปตรงมา
ทว่า....เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แม้เมื่อพล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีอย่างเต็มตัว เรื่องนี้ ยังคงมี"ปริศนา"ที่ต้องติดตามกันในตอนต่อไป